การทำ SEO บน Instagram สำหรับร้านขายของ

การทำ SEO บน Instagram สำหรับร้านขายของ

อินสตราแกรมเป็นแอปพลิเคชันที่มีไว้เพื่อให้แชร์รูปภาพหรือวิดีโอสวย ๆ ทำให้ร้านค้าออนไลน์หลายร้านใช้ช่องทางนี้ในการทำภาพสินค้าสวย ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย หลายร้านก็ประสบความสำเร็จแต่หลายร้านกลับแทบไม่มีลูกค้าที่เข้ามา Follow แม้ว่าจะเป็นสินค้าประเภทเดียวกันก็ตาม ส่วนหนึ่งของจำนวน Follower ที่แตกต่างกันเกิดจากเทคนิคการถ่ายภาพและการนำเสนอสินค้า แต่อีกส่วนคือการทำ SEO บน Instagram

วิธีการทำ SEO บน Instagram สามารถทำได้ ดังนี้

การสร้างโปรไฟล์ของร้านค้า ควรมีความน่าสนใจและต้องมีการตั้งค่าให้ทุกคนสามารถเข้าชมได้ หลายร้านที่เคยเจอในอินสตราแกรมมักตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอาไว้ ทำให้แม้ร้านจะถูกหาเจอได้ง่าย แต่กลับมีจำนวน Follower น้อย เพราะลูกค้าบางคนไม่อยากเสียเวลาไปกดติดตามหากไม่ได้เห็นสินค้าที่ขายในร้านก่อน

การตั้งชื่อร้านค้าหรือ User ควรใช้ชื่อที่นำ Keyword มาใช้งาน โดยวิธีการหา Keyword ที่ดีต่อร้านควรใช้ Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาบ่อย ซึ่งสามารถเช็คจำนวนผู้ค้นหาและดูอัตราการแข่งขันของ Keyword ที่ต้องการใช้ได้จาก Keyword Research ต่าง ๆ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย

คำอธิบายใต้ชื่อ User ของร้านควรใส่คำอธิบายสั้น ๆ โดยมี Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายแทรกเอาไว้และควรเขียนช่องทางการติดต่อเพิ่มเติม เผื่อในกรณีที่ลูกค้าสนใจสินค้า จะได้สอบถามไปยังช่องทางต่าง ๆ ที่ให้เอาไว้ได้ ซึ่งร้านไหนที่มีเว็บไซต์ก็ควรใส่ลิงก์เว็บไซต์เอาไว้ด้วย เพราะจะทำให้ดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

การใส่ Hashtag หรือ สัญลักษณ์ # เป็นสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาใช้ใน IG แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าการใส่ Hashtag ไม่ได้ทำให้ลูกค้าค้นหาสินค้าอื่น ๆ ภายในร้านเจอ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้คำที่มีความหมายกว้าง ๆ ไม่ได้เจาะจงลงไปเกี่ยวกับร้านของตัวเอง ทำให้เมื่อลูกค้าคลิกไปยังแฮชแท็กนั้น ๆ ก็จะกลายเป็นช่องทางเข้าสู่ร้านอื่น ๆ แทน

การเขียนคำบรรยายสินค้าเป็นช่องทางที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงลักษณะของสินค้า วิธีการใช้งานและคุณค่าของสินค้าชิ้นนั้น ๆ โดยการเขียนคำอธิบายสินค้าที่ดีควรแทรก Keyword ที่ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเอาไว้ แน่นอนว่าการเขียนคำอธิบายสินค้าที่จะช่วยให้มี Follower กลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นได้นั้น ต้องทำอย่างสม่ำเสมอคล้ายกับการเขียน บทความ SEO ลงเว็บไซต์นั่นเอง

คำอธิบายภาพหรือ Alt image มีความสำคัญบน Instagram ไม่ต่างจากการใส่ Alt image บนเว็บไซต์ ซึ่งเราสามารถใส่ Alt image ได้ช่วงที่เรากำลังจะโพสต์รูปภาพใหม่ลงไป โดยกดที่คำว่า “การตั้งค่าขั้นสูง” ในบรรทัดด่านล่างสุด ซึ่งคำที่ควรใส่ลงไปควรเป็น Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย

การขายของบนอินสตราแกรมไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องรู้จักเทคนิคที่จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง 6 วิธีการข้างต้น จะช่วยให้ร้านค้าใน IG มีจำนวน Follower ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น

วิธีการทำ SEO บน Instagram สามารถทำได้

บทความ SEO ที่มีคุณภาพเป็นอย่างไร

การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพจึงต้องศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ

บทความ SEO ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ เนื่องจากเป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างคนอ่านและเจ้าของธุรกิจ หากบทความมีความน่าสนใจจะนำไปสู่การขายสินค้าและบริการต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ห้องพัก รีสอร์ท ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ ได้ทั้งหมด

การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพจึงต้องศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ต่อไปนี้

ต้องไม่มีการคัดลอกงานซ้ำ

การทำงานเขียนด้าน SEO ตามระบบของ search engine optimization ใน Google ต้องไม่มีการคัดลอกทั้งหมด บางส่วนหรือสลับบรรทัด จากเว็บไซต์อื่นทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ระบบ algorithm ของ Google นั้นตรวจสอบพบได้ ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และส่งผลต่ออันดับ SEO ของเว็บไซต์ที่แย่ลงด้วย

ทั้งนี้ มีเทคนิคที่เรียกว่า การตรวจสอบ plagiarism ที่สามารถตรวจสอบได้ว่า มีการทำซ้ำบทความ โดยจะมีค่าเปอร์เซ็นต์ของ unique ไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์

หัวเรื่องและเนื้อหาต้องใส่ keyword ที่เหมาะสม

สำหรับนักเขียนบทความ SEO มือใหม่ ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานของ Google search Console ซึ่งนักผลิตบทความ SEO ทั่วโลกยอมรับว่า เป็นตัวช่วยที่ดีในการเลือก keyword ที่เหมาะสม สำหรับหัวเรื่องและเนื้อหาในบทความ SEO ในปัจจุบันมีเทรนด์ของการใช้ keyword ที่มีความยาวและจำเพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อให้บทความสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เฉพาะกว่าเดิม

เช่น ใช้คำว่า คีย์บอร์ดสำหรับนักเล่นเกมส์ E-sport แทนคำว่าคีย์บอร์ด หรือ ใช้คำว่า Huawei โทรศัพท์มือถือใช้ง่ายสำหรับผู้สูงอายุ แทนที่จะใช้คำว่า โทรศัพท์มือถือ ซึ่งเมื่อได้ keyword ที่เหมาะสมแล้วนำไปผลิตบทความ ก็จะน่าสนใจและมีประสิทธิภาพในการสื่อสารถึงกลุ่มผู้อ่านเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การขายสินค้าและบริการได้ จึงเท่ากับเป็นการโฆษณาแบบไม่ต้องเสียเงินผ่านบทความ SEO นั้น ๆ

การใช้ภาพประกอบบทความ SEO

ภาพประกอบในบทความ SEO เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะถ้าบทความมีความยาวมากกว่า 200 หรือ 300 คำ ควรจะมีการใส่ภาพที่เข้ากับเนื้อหาตอนนั้น ๆ แทรกอยู่เป็นระยะ เพื่อกระตุ้นความสนใจคนอ่าน และทำให้ผู้อ่านไม่รู้สึกเบื่อ

เทคนิคสำคัญของการใช้ภาพประกอบที่เหมาะสม อาจเลือกเป็นภาพที่ถ่ายด้วยตัวของผู้เขียนบทความเอง หรือจะเป็นภาพที่ดาวน์โหลดฟรีจากเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ใช้ได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ ก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากเป็นภาพที่ผลิตด้วยตัวเอง มีความสดใหม่ ไม่เคยใช้ที่ใด จะทำให้ส่งเสริม อันดับ SEO ของเว็บไซต์ที่นำบทความไปใช้ให้สูงขึ้นได้มากกว่าภาพที่มีการกันใช้บ่อย ๆ

จะเห็นได้ว่า การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพนั้น ไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว แต่มีหลักการที่นักเขียนต้องเรียนรู้เพื่อการทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้บรรลุวัตถุประสงค์คือ การสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และทำให้มีการสั่งซื้อสินค้าในระบบออนไลน์ตามมานั่นเอง

บทความ SEO ที่มีคุณภาพเป็นอย่างไร

ทำไมเว็บไซต์ SEO ต้องศึกษาการทำ Google Ads ด้วย

ทำไมเว็บไซต์ SEO ต้องศึกษาการทำ Google Ads ด้วย

การทำเว็บไซต์ SEO ตามระบบ search engine optimization ที่ Google กำหนด อันเป็นหลักเกณฑ์ในการเปรียบเทียบคุณภาพของแต่ละเว็บไซต์ เพื่อให้มีการจัดเรียงก่อนหลังในการปรากฏเมื่อมีการสืบค้นด้วย keyword ตามคะแนนที่ได้จากการประมวลด้วยระบบ algorithm เป็นสิ่งที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ธุรกิจออนไลน์เป็นที่รู้จักได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักสินค้าหรือบริการที่ต้องการประชาสัมพันธ์

แต่ก็มีข้อจำกัดที่ SEO เป็นเทคนิคที่ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลในเว็บไซต์ มีความสม่ำเสมอ และต้องมีความรู้จริงในการทำ เพื่อให้มีอำนาจในการแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นที่มีการทำ SEO มาต่อเนื่อง

การทำ Google Ads หรือการซื้อพื้นที่โฆษณาใน Google จึงเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการเพิ่มยอดขายบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ในแค่ชั่วข้ามคืน

ทำความรู้จักกับ SEM

Google Ads เป็นเทคนิคการตลาดที่มีอีกชื่อว่า SEM หรือ search engine marketing ที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบัน ที่ต่างต้องแย่งชิงจังหวะการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในช่วงภาวะเศรษฐกิจผันผวนทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญที่คนนิยมจับจ่ายซื้อของ เช่น ช่วงปลายเดือน วันปีใหม่ คริสต์มาส วันตรุษจีน วันสงกรานต์ วันวาเลนไทน์ ฯลฯ หากจะใช้วิธีการตลาดแบบ SEO เพียงอย่างเดียว ก็อาจจะต้องพลาดโอกาสในการจำหน่ายสินค้าไปให้แก่คู่แข่ง ซึ่งก็เท่ากับอาจพลาดลูกค้าประจำในอนาคตไปด้วย

เจ้าของธุรกิจออนไลน์สามารถเรียนรู้การทำ Google Ads ด้วยตัวเองหรือจ้างบริษัทที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงในการทำก็ได้ โดยเลือกคำสำคัญหรือ keyword ที่จะใช้เพื่อการโฆษณาแข่งขันไว้ และต้องมีงบประมาณค่าใช้จ่ายเตรียมไว้ใน 2 ส่วน คือ

การประมูลพื้นที่โฆษณา หากเป็น keyword ที่มีการมีความนิยมสูงในการสืบค้น มีบริษัทเว็บไซต์ออนไลน์อื่น ๆ ที่มีเงินทุนสูงมาร่วมประมูลแข่งขัน ก็อาจจะทำให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สูงขึ้นมาก

ค่าใช้จ่ายเมื่อมีการคลิก เมื่อได้พื้นที่เพื่อโฆษณาแล้ว จะต้องเตรียมรายจ่ายตามจำนวนครั้งของการคลิกเข้ามาชม หรือที่เรียกว่าเป็นการคิดในอัตรา pay per click ที่เจ้าของธุรกิจสามารถกำหนดงบประมาณโดยรวม ได้ในแต่ละวันหรือรายเดือน โดยเมื่อมีการคลิกจนเต็มวงเงินที่ตั้งไว้ ก็จะทำให้หยุดการโฆษณาไปในทันที

การทำ Google Ads เป็นวิธีที่สามารถลงโฆษณาได้มากกว่าข้อความ เช่น ผลิตภาพนิ่งตัดต่อที่ดึงดูดใจ ทำภาพเคลื่อนไหวที่กระตุ้นความสนใจของผู้คน ฯลฯ ในส่วนนี้ต้องใช้ผู้ผลิตที่มีฝีมือเพื่อทำผลงานที่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายและจูงใจให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายซื้อสินค้าให้มากที่สุด

จะเห็นได้ว่า การทำ Google Ads สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจออนไลน์ได้ทุกประเภท เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้นักธุรกิจออนไลน์สนใจการทำ Google Ads ควบคู่กับการทำ SEO มากขึ้นต่อไป

ทำความรู้จักกับ SEM

จะจ้างบริษัททำ SEO ทั้งที ต้องรู้รอบด้าน

จะจ้างบริษัททำ SEO ทั้งที ต้องรู้รอบด้าน

การทำเว็บไซต์ออนไลน์ในปัจจุบันได้รับความนิยมมาก เพราะเป็นช่องทางที่สร้างยอดขายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากมีการพัฒนาเว็บไซต์เป็นระบบ SEO หรือ search engine optimization ตามที่ Google กำหนดแล้ว ก็จะยิ่งทำให้มีอันดับสูงขึ้นในหน้าต่างการสืบค้น จึงเพิ่มอำนาจการแข่งขันเหนือเว็บไซต์อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี

การเลือกบริษัททำ SEO ที่มีคุณภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของเว็บไซต์ควรมีความรู้พื้นฐานรอบด้านและมีความระมัดระวังในการเลือกบริษัทดังต่อไปนี้

1. ต้องรู้ธรรมชาติของผลลัพธ์ SEO

การทำ SEO เป็นการแก้ไขโครงสร้าง เชื่อมลิงก์และสะสมข้อมูลที่อัปเดตใหม่และถูกต้องตามเกณฑ์ของ Google จึงจะทำให้ระบบ algorithm วิเคราะห์ได้ผลที่ดีขึ้น จึงต้องใช้ระยะเวลาในการทำนานมากกว่า 1-2 เดือน และไม่สามารถที่จะล็อกอันดับของเว็บไซต์ได้ หากบริษัทรับจ้างทำ SEO บริษัทใดอ้างว่าสามารถทำให้อันดับสูงขึ้นได้ในเวลารวดเร็ว 1-2 สัปดาห์ และล็อกให้อยู่ในอันดับที่หนึ่งได้ตลอด ย่อมเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงอย่างแน่นอน

2. ลำดับในการพัฒนาเว็บไซต์ SEO

การพัฒนาเว็บไซต์แบบมืออาชีพ ต้องเริ่มมาจากส่วนพื้นฐาน คือ การปรับที่โครงสร้างของเว็บไซต์ ที่เรียกว่า On-Page SEO ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่จะมีทีมงานที่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหานี้ และยังต้องมีการตรวจสอบความผิดพลาดในการเชื่อมโยงลิงก์ในอดีต ก่อนการเพิ่มข้อมูลใหม่ เช่น การผลิตสื่อหรือบทความ โดยเลือก keyword ที่เหมาะสม หากบริษัทมีขั้นตอนในการทำอย่างมืออาชีพ ก็มั่นใจได้ว่าอันดับเว็บไซต์ของคุณจะเพิ่มสูงขึ้น และสร้างยอดขายสินค้าที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน

3. ค่าใช้จ่าย

บริษัทรับทำ SEO จะมีการคิดค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันตามผลลัพธ์ที่การันตีและประสบการณ์ความชำนาญของทีมงาน ซึ่งธุรกิจแต่ละกลุ่มจะมีอัตราการแข่งขันที่มากน้อยต่างกัน เช่น การกระตุ้นการท่องเที่ยวหรือการโรงแรม การซื้อขายสินค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สินค้าแฟชั่น ฯลฯ หากมีอัตราการแข่งขันสูงก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าและใช้ระยะเวลานานกว่าในการพัฒนาเว็บไซต์แบบ SEO หากต้องการได้ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมที่สุด ควรจะสอบถามราคาเพื่อเปรียบเทียบระหว่างหลายบริษัท และพิจารณาบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด

4. สัญญาทางกฎหมาย

การทำ SEO โดยทั่วไปใช้ระยะเวลาในการเห็นผล (ทั้งด้านจำนวนลูกค้าและรายได้ที่เพิ่มขึ้น) ชัดเจนที่ระยะ 3-6 เดือนขึ้นไป และหากต้องการให้อันดับอยู่อย่างต่อเนื่องก็ต้องมีการทำอย่างสม่ำเสมอ จึงต้องมีการทำสัญญาที่ให้ผลทางกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ในสัญญาควรจะมีการระบุชัดเจนว่า หากไม่สามารถทำได้ตามข้อตกลงร่วมกัน จะมีค่าชดเชยอย่างไรให้แก่เจ้าของเว็บไซต์บ้าง เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบในภายหลังด้วย

การเลือกบริษัททำ SEO ที่มีคุณภาพ

จะเห็นได้ว่า การเลือกบริษัททำ SEO จะต้องมีความรู้อย่างรอบด้าน ทั้งในการทำ SEO และในด้านกฎหมาย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ และทำให้ได้รับประโยชน์จากการทำ SEO อย่างครบถ้วนในเวลาที่คาดหวัง จึงจะทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนได้ต่อไป

คีย์เวิร์ด SEO สำคัญอย่างไรในเว็บไซต์ทางธุรกิจ

คีย์เวิร์ด SEO สำคัญอย่างไรในเว็บไซต์ทางธุรกิจ

การทำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้าน ทั้งในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ การเพิ่มลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ต่าง ๆ และที่สำคัญคือการผลิตบทความ SEO ที่มีคุณภาพ ซึ่งนับว่าเป็นหัวใจของการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

การเขียนบทความ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ต้องใส่ใจตั้งแต่การเลือกใช้คีย์เวิร์ด SEO ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใช้พิมพ์ในช่อง Google search เพื่อการค้นหาข้อมูลต่างๆ

คีย์เวิร์ด SEO แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

1. focus keyword คีย์เวิร์ดหลัก

เป็นคำสำคัญที่มักสั้นกระชับ ควรใส่ทั้งในบทความ ส่วนหัวเรื่อง (title) และ ส่วนสรุปย่อ (Meta description) เป็นคำที่เจ้าของกิจการออนไลน์ต้องการให้ถูกค้นพบเจอเว็บไซต์ทางธุรกิจในหน้าแรกเสมอ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการมากขึ้น

2. related keyword คีย์เวิร์ดรอง

focus keyword คือ คำที่ใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดหลัก อาจมีส่วนขยายเพิ่มทำให้มีลักษณะเป็น long-tailed keywords ซึ่งสามารถหาตัวอย่างคำได้จากช่องค้นหาของ Google หลังการกดยืนยันสืบค้นด้วยคีย์เวิร์ดหลัก

การเขียนบทความหนึ่ง ๆ ควรที่จะใช้ keyword ที่กล่าวมา อย่างละ 1 คำ โดยมีการทำซ้ำไม่เกิน 2-3 ครั้ง จึงจะไม่มีปัญหาการถูกรายงานจากระบบ algorithm ของ Google ว่าเป็น spam keyword หรือ spam content ที่อาจทำให้ถูกลดอันดับ SEO ของเว็บไซต์ลงได้

นอกจากการเลือก คีย์เวิร์ด SEO เพื่อใส่ในบทความแล้ว ยังต้องใส่ใจการทำ Meta description ที่มีคุณภาพจากคีย์เวิร์ดทั้งสองประเภท (คีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง) เนื่องจาก Meta description เป็นการสรุปรวมข้อมูลต่าง ๆ ในบทความนั้น ๆ ซึ่งอาจมีความยาวมากถึง 3,000 คำ นำมาสรุปประเด็นให้สั้น ไม่เกิน 150 คำการเขียนบทความ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

ดังนั้น จำเป็นที่ต้องนำทั้ง focus keyword และ related keyword มาใส่ให้ครบถ้วน เพื่อช่วยให้ได้อันดับ SEO ที่ดียิ่งขึ้น และทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทราบได้ว่า หากคลิกเข้ามาแล้วจะพบข้อมูลที่มีรายละเอียดในประเด็นใดบ้าง

อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คือ การทำส่วน title หรือหัวข้อของบทความ ที่ควรระบุคีย์เวิร์ดหลักเอาไว้เสมอ แต่หากสามารถใส่คีย์เวิร์ดรองลงด้วยได้ ก็จะยิ่งดีต่อการสื่อความหมายของเนื้อหา ที่จะทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ต้องมีหลักการที่ชัดเจน คือ ความสั้น กระชับและใช้ภาษาที่ตรงกับลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด

จะเห็นได้ว่า การใช้คีย์เวิร์ด SEO ที่เหมาะสม จะทำให้ส่วนประกอบต่าง ๆ ทั้งหัวเรื่อง Meta description และบทความ SEO ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่ม traffic อัตราการคลิก อันดับ SEO ของเว็บไซต์ ควบคู่กับการเพิ่มยอดขายได้อย่างชัดเจน

SEO และ SEM ทำให้เว็บไซต์ขายของได้มากขึ้นจริงหรือ

การทำเว็บไซต์ออนไลน์ ในปัจจุบัน นับว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศรวมถึงความไม่เสถียรของการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้คนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะรัดเข็มขัดมากขึ้น

การจะทำให้เว็บไซต์ออนไลน์ยังขายของได้ดีในยุคปัจจุบัน จึงต้องใช้เทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า SEO และ SEM เข้ามาช่วย ซึ่งกูรูทางการตลาดการันตีว่าเห็นผลจริง

โดย SEO หมายถึง Search Engine Optimization เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ให้ตรงตามหลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Yahoo และ Google กำหนด ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

1. On-page SEO ได้แก่

ผลิตผลงานเขียนที่ใส่ keyword SEO อย่างเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยต้องไม่คัดลอกซ้ำจากแหล่งเว็บไซต์อื่น

พัฒนาเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายและสวยงาม ทั้งในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ

มีการใช้สีและฟอนต์ตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างความจดจำและน่าดึงดูดให้เข้ามาชม

2. Off-page SEO ได้แก่

หมายถึง การแนะนำเว็บไซต์ของคุณผ่านห้องสนทนา เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงลิงก์ได้ เช่น การไปสมัครเป็นสมาชิกในห้องสนทนาแนวครอบครัว หรือ ผู้รักสุขภาพ ที่คุยกันเรื่องเทคนิคการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ปลอดโรค (กรณีที่คุณขายเครื่องฟอกอากาศ)

เมื่อมีผู้ที่สนใจอยากได้เครื่องฟอกอากาศ เพื่อลดปัญหาโรคภูมิแพ้ หอบหืด ฯลฯ คุณก็สามารถที่จะให้ลิงก์เว็บไซต์ของคุณไว้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจคลิกเข้าไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสั่งสินค้าจากเว็บไซต์คุณ เรียกว่า เป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ และเป็นการขยายตลาดให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักในกว้างยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลให้ระบบอัลกอริทึมประมวลและวิเคราะห์จัดอันดับ SEO การเพิ่มยอดขายและรายได้จึงเห็นผลชัดหลังการทำ SEO สม่ำเสมอ 2-3 เดือน ขึ้นไป

ส่วนเทคนิคการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing ในการเพิ่มโอกาสในการขายแบบรวดเร็ว แต่ก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำ SEO เนื่องจากว่าต้องมีการประมูลพื้นที่ในการโฆษณา เมื่อมีการคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์จากลิงก์บน Search Engine ก็ต้องชำระค่าใช้จ่ายให้ Yahoo, Google และ Bing แบบ Pay Per Click หรือ PPC ด้วย

วิธี SEM จึงเหมาะกับช่วงเวลาที่ต้องการกระตุ้นให้มีการสั่งสินค้าโปรโมชั่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ การแนะนำคอลเลคชั่นใหม่ รวมถึงการกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลเช่น วันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ เป็นต้น

SEM จึงช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมียอดขายที่ดีขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งควรผสมผสานกับการทำ SEO จึงจะทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเว็บไซต์ธุรกิจของคุณได้อย่างเหมาะสม เติบโตดีทางด้านยอดขาย มีกลุ่มลูกค้าเก่าและใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า SEO และ SEM

ยุค 5G ทำไมต้องทำเว็บไซต์ SEO

ยุค 5G ทำไมต้องทำเว็บไซต์ SEO

ด้วยความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ตยุค 5G การทำ SEO จึงสำคัญกับเว็บไซต์ออนไลน์อย่างมาก เนื่องจากการมีการศึกษาว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกนิยมสืบค้นด้วย Search Engine อย่าง Yahoo, Bing และ Google เป็นจำนวนหลายล้านครั้งต่อวัน

ซึ่งเว็บไซต์ใดที่ปรากฏผลเป็นอันดับ 1-5 ในหน้าแรก จะมีโอกาส ขายสินค้าได้มาก ทำให้ลูกค้าใหม่ ๆ รู้จักแบรนด์ และเสริมความน่าเชื่อถือได้มากกว่า

หากต้องการให้เว็บไซต์ของคุณ ถูกได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการสืบค้นด้วยอินเทอร์เน็ตยุค 5G คุณจึงควรทำ ระบบ SEO หรือ Search Engine Optimization ให้เว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ

การทำ SEO ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ On-Page SEO และ Off-Page SEO มีหลักการ ดังนี้

1. On-Page SEO

เป็นการทำให้เว็บไซต์ที่ปรากฏแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีความน่าสนใจ โดดเด่น ทั้งด้านของสีสัน ตัวอักษร โลโก้ที่เป็นเอกลักษณ์ อ่านง่ายสบายตา นอกจากนี้ ต้องสื่อถึงแบรนด์ได้ดี เช่น หากคุณทำผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าเด็กออร์แกนิก ไม่มีสารเคมีเจือปน ก็ควรใช้สีเขียวหรือสีน้ำตาลอ่อน ที่สื่อถึงความเป็นมิตรและเป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้ การออกแบบดีไซน์ให้ใช้งานง่ายทั้งในระบบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ลูกค้า เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เนื่องจาก 80% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 5G มาจากการใช้งานผ่านหน้าจอมือถือ

ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การวิจัย Keyword SEO เพื่อใช้ในการผลิตบทความ รวมถึง ใช้ในการตั้งชื่อเพจ รูปภาพ สื่อมัลติมีเดียอื่น ๆ สำหรับประกอบในแต่ละเพจ ซึ่งควรจะกำหนดไว้เพียงแค่ 1-2 Keyword SEO วางตำแหน่งกระจายให้ทั่วทั้งเพจ จะทำให้เว็บไซต์ถูกประมวลผลจากระบบ AI อัจฉริยะของ Search Engine ให้มีอันดับ SEO สูงขึ้น จนปรากฏเป็นอันดับบน ๆ ในหน้าต่างการสืบค้นได้

2. Off-Page SEO

เป็นส่วนของการเชื่อมโยงลิงค์เว็บไซต์ภายนอก เข้าสู่เว็บไซต์การธุรกิจของคุณ หรือ ที่เรียกว่า Backlink ซึ่งเทคนิคที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ถูกโดนแบนจากโลกออนไลน์ ก็คือ การแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มสนทนา โดยให้ข้อมูลหรือความเห็นที่เป็นข้อเท็จจริง

เช่น หากคุณขายเครื่องกรองน้ำ ก็ควรอยู่ในกลุ่มของผู้รักสุขภาพเมื่อมีผู้ที่สอบถามถึงการเลือกน้ำสะอาดในรูปแบบต่าง ๆ ดื่ม คุณก็สามารถที่จะให้ข้อมูลที่เป็นหลักวิชาความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ได้ เมื่อมีผู้ที่สนใจและเชื่อมั่นในความรู้และความจริงใจของคุณ ก็จะทำให้เกิดการสอบถามลิงค์ และก็เข้ามาเยี่ยมชม เพื่อสั่งสินค้าจากเว็บไซต์คุณนั่นเอง

ยุค 5G เป็นช่วงเวลาที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างฐานลูกค้าได้ทั่วโลก ซึ่งการทำ SEO จะทำให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น หวังว่าทุกท่านจะเห็นความสำคัญของ SEO แล้วนำไปพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จได้ต่อไป

ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การวิจัย Keyword SEO

ค่าสถิติในการชมเว็บไซต์ เกี่ยวข้องกับการทำ SEO อย่างไร

ค่าสถิติในการชมเว็บไซต์ เกี่ยวข้องกับการทำ SEO อย่างไร

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการพัฒนาเว็บไซต์ที่ทำให้อันดับในการสืบค้นสูงขึ้น เช่น เป็น Top5 Top10 ในหน้าแรก ไม่ว่าจะเป็น Yahoo หรือ Google โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาให้แก่ Search Engine เพียงแต่ต้องพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และมีการประชาสัมพันธ์โดยการแนะนำบอกต่อในโซเชียล

การทำ SEO เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ที่จะช่วยให้มีอันดับในการสืบค้นที่ดีขึ้น นำมาซึ่งโอกาสในการขายได้สูงและมีลูกค้าประจำในระยะยาว ในการพัฒนาเว็บไซต์ จะมีค่าสถิติที่ระบบจะทำการคำนวณให้ เพื่อจะได้นำมาวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการปรับปรุงเว็บไซต์ SEO ให้ดียิ่งขึ้น

ค่าสถิติ 3 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับการทำเว็บไซต์ SEO ที่ควรทราบ คือ

1. ค่า CTR หรือ Click Through Rate เป็นสัดส่วนผู้สนใจคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์ของคุณ เมื่อมีการแสดงผลลัพธ์ในหน้าต่างการสืบค้น

เช่น เมื่อมีการพิมพ์หาเว็บไซต์ ด้วย Keyword ว่า ร้านขายดอกไม้รับปริญญาออนไลน์ จะปรากฏร้านขึ้นมา 10 ร้านในหน้าต่างการสืบค้น หากผู้ที่เห็นเว็บไซต์คุณคลิกเข้ามาชมก็จะทำให้ค่า CTR เพิ่มขึ้น หากมีการคลิกเข้ามาชมมาก หรือ CTR สูง ก็แสดงถึงมีโอกาสในการขายสินค้าได้มาก

การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ค่า CTR เพิ่มขึ้น เริ่มจากการเลือกใช้หัวข้อที่เหมาะสม การใช้ Keyword ที่ตรงกับการสืบค้น หากมีส่วน Meta Description บรรยายเพจคร่าว ๆ ก็จะทำให้มีผู้คลิกเข้ามาอ่านเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น

2. ค่า Time On Site หมายถึงช่วงเวลา หรือความยาวนานที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาอ่านบทความในเว็บไซต์ของคุณ เปรียบเทียบว่าคนที่เข้ามาอยู่ในเพจเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ 5-10 วินาทีแล้วก็คลิกออกไป ย่อมแสดงถึงเนื้อหาที่น่าสนใจน้อยกว่าเพจที่ทำให้ผู้ชมอยู่ได้ยาวนาน 5-10 นาที

ค่า Time On Site ที่มากขึ้น แสดงถึงการมีเนื้อหาสาระที่ตรงใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โอกาสในการขายก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง ซึ่งการเพิ่มค่านี้ทำได้จากการผลิตบทความที่มีเนื้อหาสาระชัดเจน ภาษาเหมาะสมและไม่มีการคัดลอกจากแหล่งอื่น

3. ค่า Bounce Rate คือ เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงความน่าสนใจของเนื้อหาบทความนั้น ๆ หากบทความมีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ก็จะทำให้คนไม่คลิกเปลี่ยนหน้าไปเพจอื่น ทั้งนี้ อาจเกิดจากมีภาพประกอบ หรือคลิปที่โดดเด่นในหน้านั้นก็เป็นได้ ดังนั้น หากพัฒนาเว็บไซต์ SEO แล้วทำให้ค่าสถิตินี้ดีขึ้น ก็แสดงว่าคุณมาถูกทางแล้ว

จะเห็นได้ว่า ค่าสถิติทั้ง 3 ประเภทนี้ มีความหมายต่อการพิจารณาปรับปรุงเว็บไซต์ SEO ที่มุ่งเน้นให้มีค่าตัวเลขสถิติที่ดียิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจให้แก่คู่แข่งรายอื่น

ค่าสถิติ 3 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับการทำเว็บไซต์ SEO

ทำไมการตลาดรุ่นใหม่จึงต้องทำ SEO

การทำ SEO จึงเป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์นักธุรกิจที่จะทำการตลาดในปัจจุบัน นิยมใช้ช่องทางออนไลน์เพราะให้ความสะดวกรวดเร็วและใช้ต้นทุนที่ต่ำ ไม่จำเป็นต้องเช่าพื้นที่หน้าร้านก็ได้ลูกค้าจากในและต่างประเทศได้ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ตลอด 24 ชั่วโมง

การทำ SEO จึงเป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่มีคนศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้อย่างมาก ผู้ที่ทำการตลาดรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและผู้ติดตาม จึงควรทำการศึกษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะแข่งขันกับคู่แข่งทางการค้ารายอื่นได้ดีขึ้น

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ Search Engine อย่าง Yahoo และ Google กำหนดไว้ ได้แก่

1. การทำบทความ SEO ที่มีเนื้อหาน่าสนใจให้ประโยชน์แก่ผู้อ่าน มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างประเทศ ข่าวสารมีความทันสมัยและไม่มีการคัดลอกทำซ้ำจากแหล่งอื่น

2. การเลือก Keyword ที่เหมาะสมกับสินค้า และผ่านการวิจัยว่าตรงกับที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายพิมพ์ค้นหาในช่อง Search ของ Search Engine เพื่อให้มีโอกาสถูกสืบค้นเจอได้มากขึ้น ทั้งนี้ มีสองแบบ คือ Short Tail และ Long Tail Keywords ที่คุณเลือกใช้ได้ โดยปัจจุบันแนะนำให้ใช้เป็น Long Tail Keyword คือ การใช้ Keyword ผสมกันหลายคำ เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น เช่น ใช้ คำว่า ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ราคาถูกกรุงเทพ แทนการใช้คำว่า ร้านดอกไม้ออนไลน์ เป็นต้น

3. การผลิตสื่อมัลติมีเดียที่ช่วยส่งเสริมการขายได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ ควรเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่มีบุคลิกน่าสนใจ มีเทคนิคการพูดเชิญชวนหรือรีวิวสินค้าที่เป็นข้อเท็จจริง ฯลฯ จะทำให้ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในการเข้ามาชม และสอบถามข้อมูลสินค้ามากกว่า การถ่ายเป็นภาพประกอบ หรือเป็นบทความที่มีเนื้อหายาว ทั้งนี้ มีการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบัน จะใช้เวลาในการอ่านข้อมูลเพียงแค่ 3 ถึง 5 นาที เท่านั้น การที่มีเนื้อหายาวมากเกินไปก็จะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

4. การเชื่อมโยงลิงก์ของเว็บไซต์ภายนอกเข้ามาสู่เว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ จะทำให้ได้ขยายฐานลูกค้าเป็นวงกว้างมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เช่น การไปตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการในห้องแชทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใน Facebook ห้องคุยในสังคม Pantip หรือเว็บไซต์ต่างประเทศ หากคุณสามารถแสดงความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการที่กลุ่มคนในห้องแชทกำลังให้ความสนใจ พร้อมกับแนบ Link เว็บไซต์ของคุณได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทำไมการตลาดรุ่นใหม่จึงต้องทำ SEO

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำ SEO ที่กล่าวมา หากผสมผสานและปรับใช้กับสินค้าและบริการอย่างเหมาะสม จะทำให้เว็บไซต์มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังว่าบทความนี้ จะทำให้คุณสามารถปรับใช้ SEO กับธุรกิจ เพื่อให้เติบโตดีบรรลุเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

มารู้จักการเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับการทำ SEO

SEO อย่างมีคุณภาพ สำคัญแค่ไหนกับธุรกิจออนไลน์ 2018

มารู้จักการเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับการทำ SEO

SEO เป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ ในปี 2018 ไม่ว่า สินค้า จะเป็นรูปแบบใด จับต้องได้เป็นรูปธรรมหรือไม่ สำคัญคือต้อง ต้องตา และ ต้องใจ หรือ touchable ได้ จึงจะมีโอกาสรักษาฐานลูกค้ากลุ่มเก่าและเพิ่มเปอร์เซ็นต์ลูกค้ากลุ่มใหม่ นำมาซึ่งรายได้และส่วนต่างกำไรที่สูงขึ้น ทั้งนี้ เราจะเห็นได้ว่าการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization มีความสำคัญในการทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย สามารถค้นหาธุรกิจเรา หรือเจอหน้าเพจ (website หรือ page) ในหน้าแรกของการค้นหาทางเครื่องมือออนไลน์ เช่น กูเกิ้ล (google) , บิง (bing) ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ size เล็กหรือใหญ่ การใส่ใจ SEO จึงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้

มารู้จักการเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับการทำ SEO

ทั้งนี้ การเลือกคีย์ หรือ keyword สำหรับการทำ SEO ควรต้องศึกษาตลาดก่อนว่า กลุ่ม target ที่เราต้องการขายสินค้าหรือบริการให้นั้นนิยม search ด้วยคำว่าอะไรบ้าง ซึ่งเราเรียกว่าเป็นการวิจัยคีย์ พร้อมกับต้องพิจารณาด้วยว่าคู่แข่งทางธุรกิจประเภทเดียวกับเรา ทำ adwords โฆษณาจากคีย์คำนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด ก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่ธุรกิจเราจะนำมาต่อยอดทำ SEM ที่มีประสิทธิภาพในเชิงการตลาดได้อีกมาก ในส่วนของการตั้งชื่อ URL หรือหน้าลิ้งค์ที่จะเชื่อมโยงมาสู่หน้า content ของคีย์เวิร์ดที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสนใจ ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกับ SEO ทั้งนี้กูรูด้าน SEO แนะนำให้ตั้งชื่อ URL ที่มีความยาวของตัวอักษรเหมาะสม ไม่สั้นหรือยาวเกินไป คือ 100 ตัวอักษร ให้คำที่ตรงประเด็นและตรงกับคีย์ของเพจมากที่สุด จึงจะได้ประโยชน์ในเชิงการค้นหาด้วย บอท ของ search engine นั้น ๆ

ในตัวเนื้อหาหรือคอนเท้นต์ ที่มีการผลิตโดย content marketing , content creator หรือ copywriter ก็ตาม ต้องใส่ใจรายละเอียดของเนื้อหาที่ต้องให้ประโยชน์แก่ลูกค้าที่เข้ามาอ่าน การทำ SEO ไม่ใช่การเน้นใส่แต่คีย์ เช่น วิธีคลายเครียด ควรมีเนื้อหาที่เป็นข้อแนะนำหรือวิธีคิดในการคลายเครียดมากกว่า 60 เปอร์เซนต์ ซึ่งหากภายในเนื้อหา content เกินครึ่งหนี่ง กลับเป็นเรื่องราวของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม อย่างนี้ ผู้ที่เข้ามาชมเนื้อหาก็จะได้สิ่งที่ ไม่ตรงกับความต้องการ และก็จะทำการ BLOCK หรือทำให้เพจของธุรกิจกลายเป็น Blacklist ที่จะไม่เข้ามาชมอีกต่อไป

SEO อย่างมีคุณภาพ สำคัญแค่ไหนกับธุรกิจออนไลน์ 2018

ทั้งนี้ยังรวมถึงลักษณะของภาษา ความน่าเชื่อถือ หรือ ความเป็นวิชาการ ของเนื้อหาที่ทำ SEO ที่ต้องเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย จะ touch ลูกค้าได้ ต้องรู้ว่าผู้อ่านส่วนใหญ่เป็นใคร ต้องการข้อมูลที่มีการอ้างอิงที่มาที่ไป ตัวเลขสถิติหรือเป็นกลุ่มที่ต้องการความรวดเร็วในการอ่านข้อมูลที่แม้จะใช้เวลา 3 – 5 นาที ก็ต้องมี คุณภาพ ในเนื้อหาเพียงพอที่จะทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่าเป็นการ เสียเวลา หรือ หลอกลวง ลูกค้า ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจ เพราะcontentในเพจต่าง ๆ เป็นเหมือน PR ที่เราคัดเลือกมาแล้วให้เป็นตัวแทนของแบรนด์ธุรกิจนั่นเอง