SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วควรทำแบบไหนดี

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วควรทำแบบไหนดี

ในยุคที่การทำธุรกิจมุ่งเข้าสู่การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมาก เนื่องด้วยในปัจจุบันผู้คนต่างค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจผ่านระบบ search engine หากเว็บไซต์ของเราสามารถแสดงผลในหน้าแรกของระบบได้ ก็จะทำให้ผู้คนเข้าถึงสินค้าและบริการของเราได้ง่ายขึ้น

การทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ติดหน้าแรกของการค้นหา หลักๆก็จะมีอยู่ 2 แบบ นั่นก็คือการทำ SEO กับ SEM แต่ทั้งสองคำนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรทำการตลาดแบบไหนดี

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร

SEO คือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของการค้นหาโดยไม่ต้องลงโฆษณา ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดมาเป็นช่องทางให้ผู้คนค้นพบเว็บไซต์ของเรา ซึ่งมีวิธีการดังนี้

  1. เลือกคีย์เวิร์ด การทำ SEO นั้น เราจะต้องเลือกคีย์เวิร์ดให้ตรงกับหัวข้อของเรา การเลือกคีย์เวิร์ดนั้นควรเลือกใช้คำที่คาดว่าจะมีผู้ค้นหาผ่าน search engine มาก ซึ่งปัจจุบันมีโปรแกรมที่ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพื่อให้การวิเคราะห์นั้นแม่นยำมากยิ่งขึ้น
  2. การเขียนบทความให้น่าสนใจ เราต้องทำการเขียนบทความให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารกับผู้อ่าน และเนื้อหาในบทความนั้นต้องมีคุณภาพเพียงพอต่อการให้คุณประโยชน์ต่อผู้อ่านด้วยเช่นกัน
  3. การแทรกคีย์เวิร์ดลงในบทความ เมื่อเราเขียนบทความ เทคนิคหนึ่งที่สำคัญคือการแทรกคีย์เวิร์ดลงในส่วนต่างๆของบทความเพื่อให้ผลการค้นหามาพบกับบทความของเรา การแทรกคีย์เวิร์ดควรให้สอดคล้องไปกับเนื้อหาอย่างกลมกลืน และแทรกคีย์เวิร์ดไปตามส่วนต่างๆทั่วทั้งบทความ นอกเหนือจากนั้นใน 1 บทความควรมีมากกว่า 1 คีย์เวิร์ด

SEM คือ Search Engine Marketing คือการทำการตลาดผ่าน search engine ด้วยการซื้อโฆษณา เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกของการค้นหาในทันที โดยการซื้อโฆษณาจะมีลักษณะที่เรียกว่า PPC หรือ Pay Per Click ซึ่งหากมีคนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหา เราก็จะต้องจ่ายค่าโฆษณา คือการจ่ายเมื่อคลิกนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้ได้ผลรวดเร็วแต่ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายจากการประมูลในคีย์เวิร์ดนั้น หากคีย์เวิร์ดที่เราเลือกมีผู้ใช้มาก เราจำเป็นต้องจ่ายค่าประมูลให้มากกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลก่อนเว็บไซต์ของคนอื่น

SEO กับ SEM ควรเลือกแบบไหนดี

จากข้อแตกต่างดังกล่าว ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการเลือกใช้วิธีใด หากเราไม่อยากเสียเงินเพื่อซื้อโฆษณาก็อาจจะเลือกใช้การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราค่อยๆไต่อันดับในการแสดงผลผ่าน search engine แต่ถ้าหากเรามีงบประมาณและต้องการให้เว็บไซต์แสดงผลในหน้าค้นหาทันที ก็เลือกใช้ SEM เพื่อผลที่รวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดแบบ SEO หรือ SEM สิ่งสำคัญคือเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพื่อให้การทำการตลาดออนไลน์ประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืน

ทำ SEO ใน Facebook ดีไหม

ทำ SEO ใน Facebook ดีไหม

การทำ SEO หรือ search engine optimization ไม่ได้จำกัดเฉพาะการทำในเว็บไซต์เท่านั้น แม้แต่ facebook ก็ทำได้เช่นกัน เชื่อหรือไม่ว่าจากสถิติล่าสุด มีคนไทยใช้ Facebook มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกและหนึ่งคนมีมากกว่าหนึ่งแอคเค้าท์ด้วย แสดงถึงโอกาสในการขายสินค้าและบริการที่สูงหากเราทำ SEO ใน Facebook อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ได้รับประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

มีโอกาสถูกเห็นมากขึ้น

มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่า Facebook มีวิธีปิดช่องทางการเห็นสำหรับเพจที่คุณภาพต่ำ หรือเน้นการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว นั่นแสดงว่า Facebook มีนโยบายที่ต้องการเพิ่มสาระความรู้ให้แก่ผู้อ่านใน facebook มากขึ้นเพื่อเพิ่มการใช้งานที่สูงขึ้นไปแข่งกับ google ถ้าเราทำ SEO ใน facebook ก็เท่ากับดำเนินธุรกิจตามนโยบายของ facebook โอกาสถูกเห็นจะมากขึ้นตามไปด้วย

มีการแชร์และบอกต่อบทความมากขึ้น

การทำ SEO ในบทความและรูปภาพบน facebook ที่เน้นสาระความรู้มากกว่าโฆษณา อาจทำให้มีการแชร์บอกต่อมากขึ้น เช่น เราขายสินค้าเกี่ยวกับอาหารสุนัข ถ้าทำบทความ SEO ที่เน้นความรู้เรื่องโรคในสุนัข แนะนำพื้นฐานการดูแลลูกสุนัขแบบง่าย ๆ บอกเล่าความสำคัญของการฉีดวัคซีนสุนัข ฯลฯ บทความเหล่านี้จะเข้าถึงกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงที่อยากแชร์และบอกต่อมากขึ้น และจะทำให้มีคนอยากมาอุดหนุนซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นตามมาด้วย

ทำให้เพจเป็นระเบียบ

พัฒนา facebook fanpage ตามแนวทาง SEO เป็นรากฐานสำคัญของโครงสร้างเพจที่น่าเชื่อถือ ดูเป็นมืออาชีพ ทำให้เพิ่มโอกาสขายสินค้ามากขึ้น โดยองค์ประกอบที่ควรมีได้แก่ logo ที่สะดุดตา, banner ที่น่าสนใจ, การแนะนำตัวบริษัท, แสดงช่องทางการติดต่อ, เว็บปลายทางเป็นลิ้ง เพื่อให้ง่ายต่อการใช้ของลูกค้า จะเป็น วิเคราะห์บอลวันนี้ เว็บหวย สุขภาพ ก็ตามแต่, เพิ่มหมวดสารบัญของสินค้าที่พร้อมจำหน่าย, บอกถึงมาตรการรักษาความลับของลูกค้า ฯลฯ เหล่านี้ เมื่อแสดงไว้ใน Facebook จะส่งผลต่อคะแนน SEO ที่ดียิ่งขึ้น

เพิ่มยอดขายได้ตลอดเวลา

ปัจจุบันผู้คนใช้อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลตลอดเวลา 24 ชั่วโมง การที่อันดับ facebook SEO สูงขึ้น จากการใส่ใจรายละเอียดทั้ง on-page และ off-pafe SEO จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้าถึงเพจได้มากขึ้น ทำให้มียอดการสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการไม่ทำ SEO และหากเป็นเพจภาษาต่างประเทศก็จะเข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้ทั่วโลก ซึ่งย่อมมียอดขายหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเพจภาษาไทย

Facebook มีความสำคัญสำหรับการขายสินค้าที่เน้นกลุ่มคนไทยที่ใช้งาน facebook เป็นประจำ ทำให้ร้านค้าได้ประโยชน์ทั้งยอดขาย มีชื่อเสียง ได้รับความเชื่อถือในวงกว้าง ฯลฯ เมื่อทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ ก็มั่นใจได้ว่าสามารถเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นได้แม้จะมีคู่แข่งจำนวนมากในโลกออนไลน์ก็ตาม

กลยุทธ์ SEO และ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

กลยุทธ์ SEO และ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

กลยุทธ์การโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาใน Google มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบที่ได้รับความนิยมและมักจะมาคู่กันคือ SEO และ SEM มาดูคำตอบกันว่าการทำตลาดทั้งสองแบบคืออะไรและมีความแตกต่างกันอย่างไร

1.การทำ SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือการใช้เทคนิคปรับแต่งเว็บไซต์หรือเนื้อหาของสื่อที่ลงในโซเชียลมีเดียรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแทรกคีย์เวิร์ดที่เป็นคำค้นหายอดนิยม หรือการเขียนบทความให้ได้รับการจัดอันดับที่ดีจาก Goolge รวมไปถึงการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย เลือกรูปภาพและคลิปวิดีโอที่มีขนาดพอเหมาะซึ่งมีผลต่อการปรับแต่งเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว ตลอดจนการสร้างลิงก์คุณภาพย้อนกลับมายังเว็บไซต์ วิธีการเหล่านี้เป็นเครื่องมือโปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้ Google 

2.การทำ SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing คือเทคนิคการตลาดรูปแบบหนึ่งที่มีการจ่ายเงินซื้อโฆษณาบน Google โดยเรียกเก็บเงินตามจำนวนคลิก หรือ Pay Per Click ซึ่งหมายถึงการจ่ายค่าโฆษณาตามอัตราการคลิกที่เกิดขึ้น โดยคิดค่าโฆษณาจากการคลิกคีย์เวิร์ดที่ประมูลได้ เช่น เว็บไซต์ลงโฆษณาโดยใช้คีย์เวิร์ดว่ารองเท้าเด็ก กำหนดราคาคลิกละ 5 บาท เมื่อเว็บไซต์ลงโฆษณาและมีคนคลิกเข้ามา เจ้าของเว็บไซต์ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาให้ Google คลิกละ 5 บาท แต่ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาก็ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ถ้าคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันสูงหมายถึงอัตราการประมูลต่อคลิกจะแพงขึ้นด้วย

เห็นได้ว่าการทำ SEO และ SEM มีความแตกต่างกัน ถ้าจะเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียจะสรุปโดยย่อให้ดังนี้

-การทำ SEO มีข้อดีในด้านความประหยัดต้นทุน เพราะไม่เสียค่าโฆษณาและไม่เสียค่าคลิก เหมาะสำหรับธุรกิจใหม่ที่ยังมีงบประมาณไม่มากนัก ข้อเสียคือใช้เวลามากในการทำให้เว็บไซต์ไต่อันดับขึ้นมาและต้องทำ SEO อย่างต่อเนื่องทำให้มีอัตราการคลิกเข้าชมสูง  นอกจากนี้ยังต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการปรับคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมตลอดเวลา แต่ชดเชยด้วยการแสดงผลตลอด 24 ชั่วโมงและเพิ่มยอดขายต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย

-การทำ SEM มีข้อดีในด้านผลลัพธ์ที่รวดเร็ว โฆษณาวิธีนี้ผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับที่สูงใน Google รวดเร็วใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น สามารถกำหนดวันและช่วงเวลาในการแสดงผล รวมถึงกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้มาเข้าชมได้อย่างเจาะจงมากกว่าการทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย ที่อยู่ ทำให้การโฆษณามีความคล่องตัวจะเปิดหรือปิดเมื่อไรก็ได้ สามารถเก็บข้อมูลคำค้นหาต่าง ๆ และเลือกคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังเลือกใช้คีย์เวิร์ดได้จำนวนมากด้วย ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือมีต้นทุนสูง มีค่าใช้จ่ายต้องเสียค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้น ต้องเพิ่มงบโฆษณาเพื่อให้มียอดคลิกเข้าชมจำนวนมากขึ้น และถ้างบโฆษณาหมดหรือปิดโฆษณาไปแล้ว เว็บไซต์จะไม่แสดงผลบน Google  

ทั้งสองรูปแบบให้ประโยชน์และทำควบคู่กันได้ช่วยให้การทำตลาดออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEM เพื่อเอามาทำ SEO หรือสลับกันคือวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEO เพื่อเอามาทำ SEM ก็ได้ นำมาใส่ในบทความเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากที่สุดนั่นเอง

นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้ SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร และควรเลือกวิธีไหนดี

นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้ SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร และควรเลือกวิธีไหนดี

เครื่องมือสำหรับทำการตลาดออนไลน์มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่เชื่อว่าอาวุธที่หลายคนคุ้นหูในยุคนี้คือการทำ SEO และเมื่อเอ่ยถึง SEO แล้ว อีกหนึ่งคำที่มักมาด้วยกันบ่อย ๆ คือ SEM โดยสองคำนี้ทำให้นักการตลาดออนไลน์หลายคน โดยเฉพาะนักการตลาดออนไลน์มือใหม่เกิดความสงสัยว่าแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้วิธีไหนดี วันนี้เรามีคำตอบดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้อาวุธที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจคุณ

ทำความรู้จัก SEO และ SEM
SEO หรือชื่อเต็ม Search Engine Optimization คือ วิธีการทำให้เว็บไซต์ให้ขึ้นอยู่อันดับต้น ๆ ของ Search Engine โดยเฉพาะ Search Engine ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น Google, Yahoo และ Bing โดยจุดเด่นการทำ SEO คือ ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เน้นการออกแบบเว็บไซต์ให้สมบูรณ์แบบตามเกณฑ์การให้คะแนนของ Search Engine ทั้งการทำ On-page หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สมบูรณ์ เช่น การกระจายคีย์เวิร์ด ซึ่งคีย์เวิร์ดต้องตรงกลุ่มเป้าหมาย การจัดทำคอนเทนต์คุณภาพ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของข้อมูล เป็นต้น

นอกจากการทำ On-page แล้วยังมีเรื่องการทำ Off-page อย่างการทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ โดยหากมีคนคลิกเข้ามาจำนวนมาก Search Engine จะมองว่าเว็บไซต์คุณน่าเชื่อถือ เรียกคะแนนเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี โดยการทำ On-page และ Off-page จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งท่านเจ้าของเว็บไซต์จำเป็นต้องอดใจรอ และหากวันใดที่เว็บไซต์ขึ้นอันดับต้น ๆ ได้ รับรองว่าอัตราการคลิกย่อมสูง เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือ และเป็นที่รู้จักมากขึ้นแน่นอน

สำหรับการทำ SEM หรือชื่อเต็ม คือ Search Engine Marketing คือการผลักให้เว็บไซต์ขึ้นอันดับแรกของ Search Engine เช่นกัน แต่วิธีนี้จะใช้การจ่ายเงินค่าโฆษณา โดยจะเสียค่าใช้จ่ายตามจำนวนคลิก แม้จะมีค่าใช้จ่ายแต่ก็มีข้อดีคือ เห็นผลรวดเร็ว ไม่ต้องรอนานแบบ SEO ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แบบทันใจ และแม้เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ทันที แต่ก็มีข้อเสียคือหากหยุดจ่ายเงิน การทำงานของ SEM จะหยุดชะงักทันทีเช่นกัน

ระหว่าง SEO กับ SEM ควรเลือกใช้วิธีไหนดี
จะเห็นว่า SEO และ SEM มีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ไม่สามารถเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งได้ เนื่องจากการทำการตลาดออนไลน์จำเป็นต้องพลิกแพลงและใช้เครื่องมือร่วมกันทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทำให้เจ้าของธุรกิจควรใช้ SEO และ SEM ร่วมกัน โดยอาจเลือกใช้ SEM ทดลองทำโฆษณา เพื่อสังเกตพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายเป็นระยะ ๆ ในขณะเดียวกันหากหวังผลระยะยาว แนะนำให้ความสำคัญ SEO มากกว่า เพราะการทำ SEO เน้นการสร้างผลลัพธ์ระยะยาวนั่นเอง

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ใครที่กำลังวางแผนทำการตลาดออนไลน์เพื่อต่อยอดให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ห้ามพลาดเลือกใช้ SEO และ SEM เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจ และนอกจากสองวิธีนี้แล้ว อย่าลืมใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ประเภทอื่นควบคู่กันไป เพื่อการตลาดรอบด้านและทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในที่สุด

SEO และ SEM ทำให้เว็บไซต์ขายของได้มากขึ้นจริงหรือ

การทำเว็บไซต์ออนไลน์ ในปัจจุบัน นับว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศรวมถึงความไม่เสถียรของการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้คนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะรัดเข็มขัดมากขึ้น

การจะทำให้เว็บไซต์ออนไลน์ยังขายของได้ดีในยุคปัจจุบัน จึงต้องใช้เทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า SEO และ SEM เข้ามาช่วย ซึ่งกูรูทางการตลาดการันตีว่าเห็นผลจริง

โดย SEO หมายถึง Search Engine Optimization เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ให้ตรงตามหลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Yahoo และ Google กำหนด ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

1. On-page SEO ได้แก่

ผลิตผลงานเขียนที่ใส่ keyword SEO อย่างเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยต้องไม่คัดลอกซ้ำจากแหล่งเว็บไซต์อื่น

พัฒนาเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายและสวยงาม ทั้งในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ

มีการใช้สีและฟอนต์ตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างความจดจำและน่าดึงดูดให้เข้ามาชม

2. Off-page SEO ได้แก่

หมายถึง การแนะนำเว็บไซต์ของคุณผ่านห้องสนทนา เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงลิงก์ได้ เช่น การไปสมัครเป็นสมาชิกในห้องสนทนาแนวครอบครัว หรือ ผู้รักสุขภาพ ที่คุยกันเรื่องเทคนิคการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ปลอดโรค (กรณีที่คุณขายเครื่องฟอกอากาศ)

เมื่อมีผู้ที่สนใจอยากได้เครื่องฟอกอากาศ เพื่อลดปัญหาโรคภูมิแพ้ หอบหืด ฯลฯ คุณก็สามารถที่จะให้ลิงก์เว็บไซต์ของคุณไว้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจคลิกเข้าไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสั่งสินค้าจากเว็บไซต์คุณ เรียกว่า เป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ และเป็นการขยายตลาดให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักในกว้างยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลให้ระบบอัลกอริทึมประมวลและวิเคราะห์จัดอันดับ SEO การเพิ่มยอดขายและรายได้จึงเห็นผลชัดหลังการทำ SEO สม่ำเสมอ 2-3 เดือน ขึ้นไป

ส่วนเทคนิคการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing ในการเพิ่มโอกาสในการขายแบบรวดเร็ว แต่ก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำ SEO เนื่องจากว่าต้องมีการประมูลพื้นที่ในการโฆษณา เมื่อมีการคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์จากลิงก์บน Search Engine ก็ต้องชำระค่าใช้จ่ายให้ Yahoo, Google และ Bing แบบ Pay Per Click หรือ PPC ด้วย

วิธี SEM จึงเหมาะกับช่วงเวลาที่ต้องการกระตุ้นให้มีการสั่งสินค้าโปรโมชั่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ การแนะนำคอลเลคชั่นใหม่ รวมถึงการกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลเช่น วันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ เป็นต้น

SEM จึงช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมียอดขายที่ดีขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งควรผสมผสานกับการทำ SEO จึงจะทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเว็บไซต์ธุรกิจของคุณได้อย่างเหมาะสม เติบโตดีทางด้านยอดขาย มีกลุ่มลูกค้าเก่าและใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า SEO และ SEM