ทำไมการทำ SEO ถึงเห็นผลช้า

ทำไมการทำ SEO ถึงเห็นผลช้า

ทำไมการทำ SEO ถึงเห็นผลช้า

SEO (Search Engine Optimization) มักจะแสดงผลลัพธ์ได้ช้าเนื่องจากปัจจัยหลายประการ ดังต่อไปนี้

1.การรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีเครื่องมือค้นหา: หลังจากทำการเปลี่ยนแปลง SEO ของเว็บไซต์แล้ว เครื่องมือค้นหาเช่น Google ต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับขนาดของเว็บไซต์และความถี่ที่บอทของเครื่องมือค้นหารวบรวมข้อมูล

2.การแข่งขัน: หากคุณอยู่ในกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง อาจใช้เวลานานกว่าจึงจะเห็นผลลัพธ์ เนื่องจากคุณกำลังแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นเพื่อจัดอันดับ อาจต้องใช้เวลาเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสร้างอำนาจและความเกี่ยวข้องเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มีชื่อเสียง

3.การอัปเดตอัลกอริทึม: เครื่องมือค้นหามักจะอัปเดตอัลกอริทึมเพื่อปรับปรุงผลการค้นหาและต่อสู้กับสแปม การอัปเดตเหล่านี้อาจส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณ ทำให้เกิดความผันผวนซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการรักษาเสถียรภาพ

4.คุณภาพและปริมาณเนื้อหา: ความสำเร็จของ SEO มักขึ้นอยู่กับคุณภาพและปริมาณของเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณและการอัปเดตไซต์ของคุณเป็นประจำสามารถช่วยปรับปรุงอันดับเมื่อเวลาผ่านไปได้ แต่ไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นทันที

5.การสร้างลิงก์ย้อนกลับ: การสร้างลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงเป็นสิ่งสำคัญของ SEO แต่ก็เป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปเช่นกัน การได้รับลิงก์ย้อนกลับที่มีชื่อเสียงต้องใช้เวลาและความพยายาม และผลกระทบต่อการจัดอันดับการค้นหาอาจไม่เกิดขึ้นทันที

6.ปัญหา SEO ทางเทคนิค: ปัญหาทางเทคนิค SEO เช่น ความเร็วเว็บไซต์ ความเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ และความสามารถในการรวบรวมข้อมูลอาจส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO ของคุณได้ แต่อาจต้องใช้เวลาในการดำเนินการและดูผลลัพธ์

7.การแข่งขันคำหลัก: ความสามารถในการแข่งขันของคำหลักที่คุณกำหนดเป้าหมายยังส่งผลต่อความรวดเร็วในการดูผลลัพธ์อีกด้วย คำหลักที่มีการแข่งขันสูงอาจใช้เวลาในการจัดอันดับนานกว่าเมื่อเทียบกับคำหลักที่มีการแข่งขันน้อยกว่า

โดยรวมแล้ว SEO เป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่ต้องใช้ความอดทนและความพยายามอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคุณอาจไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที แต่การลงทุนกับ SEO สามารถนำไปสู่การเติบโตของการเข้าชมแบบออร์แกนิกที่ยั่งยืนและการมองเห็นที่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

On site SEO คืออะไร

On site SEO คืออะไร

On site SEO คืออะไร

SEO ในสถานที่คือกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณและซอร์สโค้ด HTML สำหรับเครื่องมือค้นหาและผู้ใช้ โดยเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้มีแนวโน้มที่จะมีอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาและดึงดูดปริมาณการเข้าชมที่เกี่ยวข้องมากขึ้น

ปัจจัย SEO บนเว็บไซต์ที่สำคัญที่สุดได้แก่

1.เนื้อหาคุณภาพสูงไม่ซ้ำใคร เครื่องมือค้นหาต้องการให้ผู้ใช้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจัดลำดับความสำคัญของเว็บไซต์ด้วยเนื้อหาที่ให้ข้อมูลและเกี่ยวข้อง เนื้อหาของคุณควรเขียนได้ดีและมีส่วนร่วม และควรให้คุณค่าแก่กลุ่มเป้าหมายของคุณ

2.คำหลักที่เกี่ยวข้อง เมื่อเครื่องมือค้นหารวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ มันจะค้นหาคำหลักที่ตรงกับคำค้นหาที่ผู้ใช้ป้อน คุณควรรวมคำหลักที่เกี่ยวข้องไว้ในเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงในแท็กชื่อ คำอธิบายเมตา ส่วนหัว และข้อความเนื้อหา

3.SEO ทางเทคนิค SEO ทางเทคนิคหมายถึงโครงสร้างพื้นฐานและโค้ดของเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ของคุณ ความเหมาะกับมือถือ และการนำทาง SEO ทางเทคนิคที่ดีช่วยให้เครื่องมือค้นหารวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณได้ง่าย

ปัจจัย SEO ในสถานที่อื่นๆ ได้แก่

1.การเชื่อมโยงภายใน ลิงค์ภายในคือลิงค์ที่เชื่อมโยงหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ของคุณ ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณและความสัมพันธ์ระหว่างหน้าต่างๆ

2.การเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ คุณควรปรับรูปภาพของคุณให้เหมาะสมสำหรับเครื่องมือค้นหาโดยใช้ชื่อไฟล์ที่สื่อความหมายและข้อความแสดงแทน สิ่งนี้จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่ารูปภาพของคุณเกี่ยวกับอะไรและจัดทำดัชนีตามนั้น

3.ประสบการณ์ผู้ใช้ โปรแกรมค้นหาต้องการให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงพิจารณาปัจจัยของประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ อัตราตีกลับ และอัตราการคลิกผ่านเมื่อทำการจัดอันดับเว็บไซต์

ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับ SEO บนเว็บไซต์ คุณจะสามารถเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาและดึงดูดปริมาณการเข้าชมที่เกี่ยวข้องมากขึ้น

ข้อดี ข้อเสียของ seo

ข้อดี ข้อเสียของ seo

ข้อดี ข้อเสียของ seo

นี่คือข้อดีและข้อเสียของ SEO

ข้อดีของseo

-การเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น SEO สามารถช่วยให้คุณดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้นโดยการปรับปรุงอันดับในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การรับรู้ถึงแบรนด์ โอกาสในการขาย และยอดขายที่เพิ่มขึ้น

-ความน่าเชื่อถือที่ได้รับการปรับปรุง เมื่อเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าก็จะดูน่าเชื่อถือมากขึ้น สิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณสร้างความไว้วางใจและอำนาจในอุตสาหกรรมของคุณได้

-ผลลัพธ์ที่วัดได้ SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่วัดผลได้ ดังนั้นคุณจึงสามารถติดตามความคืบหน้าและดูว่าความพยายามของคุณส่งผลต่อการเข้าชมเว็บไซต์และ Conversion ของคุณอย่างไร

-ประโยชน์ระยะยาว SEO สามารถช่วยให้คุณปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ตลอดเวลา แม้ว่าคุณจะหยุดเพิ่มประสิทธิภาพอย่างแข็งขันก็ตาม เนื่องจากเครื่องมือค้นหาให้รางวัลเว็บไซต์ที่ให้เนื้อหาคุณภาพสูงและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี

-คุ้มค่า SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับช่องทางอื่นๆ เช่น การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย

ข้อเสียของseo

-ใช้เวลานาน SEO ต้องใช้เวลาในการดูผลลัพธ์ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่สำคัญ

-ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง SEO เป็นกระบวนการต่อเนื่อง คุณต้องเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณต่อไปเพื่อรักษาอันดับของคุณในผลการค้นหา

-ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค SEO ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคบางประการ คุณต้องเข้าใจว่าเครื่องมือค้นหาทำงานอย่างไรและจะเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณอย่างไร

-การแข่งขัน มีการแข่งขันกันมากมายเพื่อการจัดอันดับสูงสุดในผลการค้นหา ซึ่งหมายความว่าคุณต้องสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและสร้างลิงก์ย้อนกลับไปยังเว็บไซต์ของคุณหากคุณต้องการอันดับที่ดี

-การเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม เครื่องมือค้นหาอัปเดตอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าคุณต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงล่าสุดเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณยังคงได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม

โดยรวมแล้ว SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีคุณค่าซึ่งสามารถช่วยให้คุณดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ปรับปรุงความน่าเชื่อถือ และเพิ่มผลกำไรของคุณ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบข้อดีข้อเสียของ SEO ก่อนที่จะเริ่มใช้งาน

สิ่งที่ควรคำนึงถึงเพิ่มเติมเมื่อพิจารณา SEO

1.ประเภทธุรกิจที่คุณมี SEO ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกธุรกิจ มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์

2.งบประมาณของคุณ SEO อาจมีราคาแพง โดยเฉพาะหากคุณจ้างเอเจนซี่ SEO มืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณด้วยตัวเอง

3.ความตั้งใจของคุณที่จะเรียนรู้ SEO เป็นเรื่องที่ซับซ้อน หากคุณไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณอาจไม่ประสบความสำเร็จ

หากคุณกำลังพิจารณา SEO สำหรับธุรกิจของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องทำการวิจัยและค้นหาเอเจนซี่หรือที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงเพื่อช่วยเหลือคุณ คุณควรเตรียมพร้อมที่จะลงทุนเวลาและเงินในกระบวนการนี้ด้วย

SEO มีกี่แบบ พร้อมหลักการทำงานเพื่อให้เว็บไซต์เติบโต

SEO มีกี่แบบ พร้อมหลักการทำงานเพื่อให้เว็บไซต์เติบโต

จุดประสงค์หลักของการทำเว็บไซต์คือต้องการให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ตนเองทำ ยิ่งเป็นเว็บไซต์ธุรกิจด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสในการเติบโตมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย, เงินโฆษณาและอื่น ๆ อีกมาก จึงเป็นที่มาของการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง google นั่นเอง

SEO มีกี่ประเภท

SEO โดยหลัก ๆ จะมีด้วยกัน 3 ประเภท ซึ่งทั้ง 3 ประเภทก็มีวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือทำอย่างไรให้คนรู้จักและเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้มากที่สุด

1.SEO- On Page

SEO On Page คือการปรับแต่ง หน้าตาของเว็บไซต์ให้ google เป็นที่รู้จักหรือค้นหาได้โดยง่าย วิธีการทำหลัก ๆ คือจะต้องทำตามที่ google กำหนดหรือตรงตามกฎที่ระบุไว้ เชื่อว่าคนท่องโลกอินเทอร์เน็ตมากกว่า 80-90% นิยมใช้ google เป็น Search Engine หรือใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหามากที่สุด 

2.SEO- Off Page 

SEO-Off Page คือการอาศัยเทคนิคจากภายนอก เพื่อสร้างการค้นหาให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น เทคนิคการทำ Backlink 

3.Technical SEO

Technical SEO คือ SEO ที่มีเทคนิคและวิธีการทำนอกเหนือไปจาก SEO-On Page และ SEO-Off Page เช่น SEO Friendly, แผนผัง XML, การสร้างเว็บไซต์ให้รองรับทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เคลื่อนที่ เป็นต้น

หลักการทำงานของ SEO เพื่อการเติบโตของเว็บไซต์

เว็บไซต์คุณภาพ

เว็บไซต์ที่ดีควรมีคุณภาพ ทั้งในเรื่องของเนื้อหา keyword มีความปลอดภัย สามารถใช้งานได้ดีทุกระบบปฏิบัติการทั้ง windows, iOS และ Android โหลดเร็ว ซึ่งทาง google จะมีวิธีในการประเมินและให้คะแนนเพื่อจัดลำดับ Ranking ของเว็บไซต์ โดยยึดหลักตามกฎหรือข้อกำหนดที่ทาง google กำหนดมา

1.ดึงดูดคนเข้าเว็บไซต์

เมื่อเว็บไซต์ที่ทำการสร้างมามีคุณภาพเป็นที่รู้จัก ก็จะช่วยในการดึงดูดเข้าเว็บไซต์จำนวนมากได้ อาจใช้วิธีการทำ backlink เพื่อไปยังเว็บไซต์ที่ถูกกล่าวถึง เพื่อสร้าง Traffic จำนวนมาก

2.คอนเทนต์ดี มีประโยชน์

หลักการค้นหาของ google คือ การประมวลผลหาผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานหรือการค้นหาข้อมูลที่ดีมีคุณภาพ สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้งาน เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับการทำปุ๋ย เว็บไซต์ก็ควรจะมีขั้นตอนหรือวิธีการใช้ปุ๋ย ผลลัพธ์ของการใช้ปุ๋ย ประโยชน์ของปุ๋ย เป็นต้น การเลือกใช้ keyword ที่ตรงกับเนื้อหารวมไปถึงการใส่ keyword ให้เหมาะสม ไม่เยอะเกินไป ดูให้เป็นธรรมชาติ ไม่ยัดคีย์ เพราะการที่ใส่คีย์เวิร์ดจนเยอะเกินไปอาจทำให้ google มองเป็นการ spam อาจส่งผลให้เกิดการแบนหรือลดการมองเห็นจาก google ได้

หากเรารู้ถึงวิธีการทำ SEO แล้ว อย่าลืมที่จะสร้างเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎของเครื่องมือในการค้นหายอดนิยมอย่าง google ให้ดี เพราะมิเช่นนั้นแล้วนอกจากอันดับเว็บไซต์จะไม่อยู่ในลำดับที่ดีแล้ว อาจโดนทาง google แบนหรือปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ 

5 เทคนิคสร้าง SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

5 เทคนิคสร้าง SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

ใครที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็คงอยากให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูลผ่าน Google พบหน้าเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก (จริงไหมคะ) การสร้างเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกบน Google จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะเราทุกคนต่างมีคู่แข่งที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันค้นหา แต่ก็ไม่ยากมากเกินกว่าจะทำได้ ขอเพียงเราเข้าใจเรื่องระบบการสืบค้น หรือการทำ SEO ให้ดี เว็บไซต์ก็จะติดอันดับต้น ๆ ได้ไม่ยากค่ะ

วันนี้เราจึงสรุป 5 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติด SEO บน Google แพลตฟอร์มมาฝากกัน คือ

1.สร้างคีย์เวิร์ด (Keyword) ให้โดนใจ
สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราต้องเลือกให้ดี คือ การใช้คีย์เวิร์ดที่ดี เริ่มต้นจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าว่าเป็นเช่นไร ต้องการสิ่งใด และลูกค้าส่วนใหญ่จะพิมพ์ค้นหาด้วยการใช้ประโยคแบบไหน หากเราเข้าใจดีแล้ว การสร้างคีย์เวิร์ดก็จะช่วยให้ระบบการค้นหา SEO บน Google แสดงข้อมูลเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ

2.Backlink ต้องน่าเชื่อถือ
ความน่าเชื่อถือของลิงก์ที่เรานำมาใช้จะต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง รวมถึงการแชร์เนื้อหาออกไปยังสื่อต่าง ๆ ก็ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เขียนด้วยเช่นกัน การเลือกใช้ Backlink จึงไม่เพียงช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการและอ่านข้อมูลบนเว็บไซต์มากขึ้นด้วย

3.ออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจ
ในยุคปัจจุบัน Google ให้ความสนใจในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์เป็นอย่างมาก เพราะผู้ใช้งานร้อยละ 90% ที่เข้าสู่เว็บไซต์หนึ่ง ๆ มักต้องการข้อมูลครบถ้วน รวดเร็ว ตลอดจนประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากการใช้งาน การออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของระบบการค้นหา SEO

4.บทความดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
เนื้อหาข้อมูลที่นำมาลงในเว็บไซต์จะต้องชัดเจนและเกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ทั้งนี้การเขียนเนื้อหายังต้องเพิ่มคีย์เวิร์ดที่ดีแทรกลงไป เพื่อให้เข้าถึงผู้คนที่สนใจบทความดังกล่าวด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การอัปเดตข้อมูลให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ เพียงเท่านี้หน้าเว็บไซต์ก็จะขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ แล้ว

5.ใช้สื่อโซเชียล (Social Media) ให้เกิดประโยชน์
การใช้สื่อโซเชียลมีส่วนสำคัญมากถึง 90% ดังที่เราแนะนำไปข้างต้นว่า ในแต่ละบทความที่เราเขียนนั้นจำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ด รวมถึง Backlink ที่เกี่ยวข้องใส่ไว้เสมอ เพื่อให้ทุกครั้งที่มีการแชร์ ผู้ใช้งานก็จะพบเห็นบทความของเราได้มากขึ้น ตลอดจนการเข้าถึงเว็บไซต์ก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเช่นกัน

เราหวังว่า 5 เทคนิคที่นำมาแบ่งปัน จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การทำ SEO ไม่ใช่เพียงแค่ว่าทำวันนี้แล้วจะได้ผลทันที แต่การทำให้ต่อเนื่องหากจึงจะแสดงผลลัพธ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เพิ่มยอดขายให้ปัง !!! ด้วย SEO

เพิ่มยอดขายให้ปัง !!! ด้วย SEO

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการต่างมองหาความได้เปรียบในทุกรูปแบบเพื่อจูงใจให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าและบริการของตนเอง การเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น คุณรู้หรือไม่ว่าในโลกออนไลน์มีวิธีในการช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินค้าและบริการให้กับสินค้าของคุณได้ด้วยการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ซึ่งเป็นการตลาดออนไลน์อย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำถึงวิธีการเพิ่มยอดขายให้ปัง!!! ด้วย SEO มาบอกกัน…

SEO คืออะไร
SEO หรือ Search Engine Optimization เรียกให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การทำให้เว็บไซต์สินค้าและบริการของคุณอยู่ในลำดับต้น ๆ หรืออยู่ในหน้าแรกของการค้นหาผ่าน Search Engine เช่น Google, Yahoo ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น โดยการทำ SEO นั้นจะเป็นการจัดรูปแบบเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสม ให้ดึงดูดน่าสนใจ มีการใส่ keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป มีเนื้อหาในเว็บไซต์สอดคล้องกับสินค้าและบริการ มีภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวประกอบบทความ มีมากกว่า 1 หน้าต่อเว็บไซต์เพื่อเป็นการจัดกลุ่มเนื้อหาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ฯลฯ โดยเจ้าของ Search Engine จะมีการให้คะแนนเว็บไซต์ในแต่ละจุดเพื่อจัดลำดับในหน้า Search Engine ต่อไป

SEO จะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร
ประโยชน์หลัก ๆ จากการทำ SEO คือการเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของสินค้าและบริการของคุณ ซึ่งในแต่ละวันมีคนเข้า Search Engine เพื่อค้นหาสิ่งที่สนใจจะเลือกซื้อหลายล้านครั้งต่อวัน และต้องยอมรับว่าในโลกธุรกิจย่อมมีสินค้าและบริการที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกับสินค้าของคุณอย่างแน่นอน ดังนั้น หากเว็บไซต์ของคุณได้อยู่ในหน้าแรก หรืออันดับต้น ๆ ของการ Search ย่อมทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับความสนใจ และมีโอกาสที่คนจะเข้าชมมากขึ้นและเลือกซื้อสินค้าต่อไป

นอกจากนี้ การทำ SEO ที่ดีจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและตรงจุดมากขึ้น สามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ในการจัดจำหน่าย และยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าและบริการของคุณ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเลือกซื้อสินค้าที่สำคัญอย่างหนึ่งอีกด้วย

แม้ว่าการทำ SEO จะมีข้อดีมากมาย เป็นเสมือนเครื่องมือทางการตลาดที่คนทำธุรกิจในยุคใหม่ต้องเรียนรู้และไม่ควรมองข้าม แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ เพราะคุณจะต้องทำการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ทันสมัย ข้อมูลมีการอัพเดตอยู่เสมอ เพราะหากคุณปล่อยปละละเลยไม่มีการอัพเดตข้อมูล เว็บไซต์ของคุณก็อาจถูกเลื่อนลำดับไปอยู่หน้าอื่น ๆ ได้เช่นกัน

5 ข้อควรระวังในการทำ SEO Content

5 ข้อควรระวังในการทำ SEO Content

SEO Content อาจเป็นคำที่คุ้นหูสำหรับผู้ที่ทำการตลาดออนไลน์ แต่สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้น อาจต้องทำความรู้จักกับ SEO Content ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำการตลาดออนไลน์ให้มากขึ้น SEO มาจากคำว่า Search engine optimization ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพให้เว็บไซต์ ถูกค้นพบด้วย Search Engine ต่าง ๆ อย่าง Google, Bing , Yahoo , Ask และ Baidu เป็นต้น โดยใช้ Keyword Content เป็นอาวุธซึ่ง Content ที่ว่านี้ค่ะภาพรวมของเนื้อหา เช่น ภาพ ตัวอักษร วีดีโอ รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ใส่ไว้ในบทความ ด้วยรายละเอียดเหล่านี้จึงเป็นที่มาของข้อควรระวังในการทำ SEO Content ซึ่งมี 5 ข้อพึงระวัง ดังต่อไปนี้

1.ระวังไม่ให้ Content ขาดสารประโยชน์
เพื่อพื้นฐานสำคัญในการทำ SEO ในช่วงเวลานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่เนื้อหาต้องมีประโยชน์ เพราะหาก Content นั้น ๆ มีข้อมูลและสารประโยชน์ต่อผู้อ่านก็จะเกิดการแชร์ต่อ ๆ กันไป และบางคนก็กลับมาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทำให้เกิดการคลิกเข้ามาสู่เพจบ่อยขึ้น สิ่งนี้จะกระตุ้นให้อัลกอริธึมของ Google จัดอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นด้วย

2.ระวังเรื่อง Keywords
ซึ่งเป็นหัวใจหลักของบทความ โดยหลักการทำ SEO นั้นสามารถใส่ Keyword ได้ 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Broad, Broad Match Modifier, Phrase และ Exact โดยแต่ละประเภทมีการทำงานที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น Broad หมายถึงคีย์เวิร์ดประเภท “กว้าง ๆ” โดยโฆษณาของเว็บไซต์จะแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับ Keyword ใส่ และคำที่ใกล้เคียงกับ Keyword ที่ใส่ลงไปในบทความ รวมถึงคำค้นหาที่ใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดนั้นด้วย เช่น Keyword คือคำว่า ‘รองเท้าผู้ชาย’ กรณีที่มีผู้ค้นหาด้วยคำว่า ‘รองเท้าผู้ชาย’ หรือ ‘รองเท้าแตะผู้ชาย’ Ad โฆษณาของเว็บไซต์ของคุณก็จะแสดงผลใน Search Engine ด้วยเช่นกัน

3.ระวังเรื่องความถี่ในการอัพเดท
สิ่งสำคัญสำหรับเว็บเพจจำหน่ายสินค้าออนไลน์ คือการอัพเดทข่าวสารข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำเสนอ Content ที่มีประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งหากขาดการอัพเดทข้อมูลของผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการ หรือรูปแบบกิจกรรมใหม่ ๆ ให้เคลื่อนไหวในระบบออนไลน์ Content ก็จะไม่ได้รับการพัฒนาให้ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และไม่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการแรงกระตุ้นจากกกระแสโซเชียลดึงดูดเพื่อการตัดสินใจในการซื้อสินค้าและบริการเหล่านั้น

4.ระวังเรื่องจำนวนของภาพและคลิปวีดิโอ
หากภาพ หรือคลิปวิดีโอมีจำนวนมากเกินไปจะส่งผลให้การโหลดเข้าสู่เว็บไซต์ทำได้ช้า ซึ่งเท่ากับเป็นการเสียโอกาสในการค้นหาและการเข้าสู่เว็บไซต์ เพราะผู้บริโภคมีเวลาตัดสินใจไม่มากนักประกอบกับมีเว็บไซต์ของคู่แข่งให้เลือกชมอีกเป็นจำนวนมากนั่นเอง

5.ระวังเรื่อง Copy & Paste
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ SEO Content ขาดความน่าสนใจและตกอันดับจากหน้าเพจแรกของ Google ได้แก่ กรณีการทำ Copy&Paste นอกจากจะได้เนื้อหาที่ไม่เชื่อมต่อแล้ว ยังอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณหลุดจากอันดับต้น ๆ ในเพจแรกของ Google ได้แบบไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น การสร้าง SEO Content ที่มีประโยชน์และอัพเดทข่าวสารข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ติดตามเพื่อการเข้าถึงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันรูปแบบ Organic Reach แม้ว่าจะดูเรียบง่ายซึ่งมีข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าในระยะยาวนั้นการทำ SEO Content ให้มีคุณภาพตามแนวทางข้างต้นจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเสริมประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์เพื่ออยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาในหน้าแรกของ Search Engine

5 เทคนิคลับ SEO 2021 ระดับ Advance

5 เทคนิคลับ SEO 2021 ระดับ Advance

จากหลายปีที่ผ่านจะเห็นว่าการแข่งขันทำอันดับเว็บไซต์บน Search Engine เช่น Google, Bing, Yahoo หรือ Wiki search ฯลฯ รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการทำเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกเป็นช่องทางที่สามารถสร้างรายได้และเป็นช่องทางในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การทำ Search Engine Optimization หรือ SEO แบบพื้นฐานไม่พออีกต่อไป โดย 5 เทคนิคลับทำ SEO ระดับ Advance 2021 มีดังนี้

1.เพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Backlink ด้วย Infographic
การทำ Infographic เป็นการทำภาพที่ช่วยสรุปเนื้อหาบนหน้าเว็บเพจทำให้ผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น โดยการทำ Infographic จะเป็นภาพแผนภูมิ สัญลักษณ์ หรือภาพวาดก็ได้เพียงแต่ต้องให้ผู้ที่อ่านเข้าใจได้ในทันที ซึ่ง Canva.com เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้าง Infographic ใช้งานง่ายและได้รับการแนะนำจากมืออาชีพด้านการทำเว็บไซต์ เพราะมีแม่แบบ Infographic ให้เลือกมาปรับใช้มากมายและมีรูปภาพฟรีให้ใช้งาน ทั้งนี้เมื่อทำภาพ Infographic เรียบร้อยแล้ว ก่อนการนำไปโพสต์ลงบนเว็บไซต์ควรตั้งชื่อไฟล์ภาพและแทรกคำอธิบายภาพด้วย Keyword (คำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหา) ทุกครั้ง

2.ปรับเว็บไซต์ให้รองรับ SEO ด้วย AI SEO Tools
สำหรับมืออาชีพด้านการทำเว็บไซต์น่าจะรู้จัก AI SEO Tools กันบ้างแล้ว เพราะเครื่องมือนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปรับการตั้งค่าต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์และปรับ Content ให้มีประสิทธิภาพในการทำ SEO มากขึ้น ทำให้เว็บไซต์มีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นและติดอันดับบน Search Engine ได้ง่ายขึ้นด้วย

3.Keyword ที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการค้นหาอีกต่อไป
ตั้งแต่เริ่มศึกษาการทำเว็บไซต์และ SEO เรามักจะเห็นผู้เชี่ยวชาญในการทำเว็บไซต์แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาเยอะ ๆ เพราะจะทำให้มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น แต่ในการทำ SEO 2021 ระดับ Advance กลับแนะนำให้เลือกใช้ Keyword ที่มีคนค้นหาน้อยแต่เป็นที่ต้องการ เพราะคำค้นหาดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ได้มากกว่า โดยแทรกคำที่แสดงถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายลงไป เช่น ไม้ถูพื้น ABC รุ่น T123 กับ T456 แบบไหนดีกว่ากัน, มือถือพร้อมแพ็กเกจ ค่าย QQ กับ ค่าย PP คุ้มค่ากว่ากัน เป็นต้น

4.สร้าง Backlink ย้อนกลับไปยังบทความเก่า ๆ
หลายคนหมั่นเขียนบทความลงบนเว็บไซต์แต่กลับลืมแนบลิงก์บทความก่อนหน้าเพื่อสร้างความเชื่อมโยง ทำให้เมื่อมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ใช้เวลาบนเว็บไซต์น้อย ส่งผลให้อันดับบน Search Engine ลดลง ดังนั้นเพื่อสร้างการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ควรหมั่นเข้าไปแก้ไข อัปเดตและแนบลิงก์บทความเก่าให้มีความเชื่อมโยงกัน เพราะจะทำให้เว็บไซต์สามารถทำอันดับบน Search Engine ได้ดีขึ้น

5.ปรับเนื้อหาให้รองรับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search)
เทรนด์การค้นหาข้อมูลด้วยเสียงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การสร้างเนื้อหาให้รองรับการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำ SEO ในอนาคต เช่น การตั้งชื่อหัวข้อบทความด้วยประโยคคำถาม เป็นต้น

หากต้องการพัฒนาเว็บไซต์ให้รองรับการทำ SEO ในอนาคต เทคนิคลับทำ SEO ระดับ Advance ข้างต้นนี้ จะช่วยให้การทำเว็บไซต์มีประสิทธิภาพ และสามารถทำให้อันดับในผลการค้นหาสูงขึ้นได้

How to เขียนบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจ

How to เขียนบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจ

Search Engine Optimization (SEO) คือกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การทำเว็บไซต์ประสบความสำเร็จ โดยมีการเขียนบทความเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยในการสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยปัจจัยที่ช่วยให้การเขียนบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มีดังนี้

1.การเลือกคีย์เวิร์ด หรือคำค้นหา คีย์เวิร์ดเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการทำ SEO หากเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับคำที่ผู้ใช้นิยมพิมพ์เพื่อค้นหา ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสแสดงในผลการค้นหาของ Search Engine ได้มากขึ้น และดีไปกว่านั้นคืออยู่ใน Top10 หน้าแรก โดย Search Engine ชั้นนำได้แก่ Google, Bing, Yahoo เป็นต้น สำหรับเครื่องมือที่ช่วยในการหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเรียกว่า Keywords Research Tool ซึ่งมีให้เลือกจากหลายผู้ให้บริการทั้งแบบฟรีและมีค่าบริการ เพียงป้อนคำที่ต้องการลงไป โปรแกรมจะแสดงรายการคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและคีย์เวิร์ดทางเลือกออกมาให้พิจารณา มีข้อมูลปริมาณการค้นหาต่อเดือน, ค่าใช้จ่ายในการนำคีย์เวิร์ดไปทำโฆษณา เช่น Google Ads รวมถึงแสดงระดับความยากง่ายในการแข่งขัน

2.ตั้งชื่อบทความให้น่าสนใจและถูกใจ Search Engine การตั้งชื่อบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจนั้น ต้องให้ความสำคัญทั้งกลุ่มเป้าหมายและ Search Engine ทำให้การตั้งชื่อบทความ SEO ที่ดีควรมีคีย์เวิร์ดหลักแทรกอยู่เสมอ และมีความยาวประมาณ 50 – 60 ตัวอักษร และต้องเขียนให้น่าสนใจ ดึงดูดให้ผู้ชมคลิกเข้ามายังเว็บไซต์

3.แทรกคีย์เวิร์ดหลักใน Link การทำ Friendly Link โดยการแทรกคีย์เวิร์ดใน URL ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำบทความ SEO แม้ว่าการทำ Friendly Link ภาษาไทยจะมีความซับซ้อนกว่าการทำ Friendly Link ภาษาอังกฤษแต่ก็สามารถทำได้ด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยการทำ Friendly Link จะช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์มากขึ้น

4.เริ่มลงมือเขียนบทความ ในส่วนของการเขียนบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจนั้น ควรแทรกคีย์เวิร์ดลงในบทความแบบกระจายไปทั่วบทความในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยตำแหน่งการแทรกคีย์เวิร์ดควรอยู่ทั้งในหัวข้อ, URL, ย่อหน้าแรก, หัวข้อหลักภายในบทความ, หัวข้อย่อย, เนื้อหาบทความ รวมถึงแทรกลงในคำอธิบายภาพ

5.เพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์ด้วยการแทรกลิงก์ที่เกี่ยวข้อง ยิ่งกลุ่มเป้าหมายใช้เวลากับเว็บไซต์นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อเว็บไซต์มากขึ้นเท่านั้น เพราะระบบ Bot ใน Search Engine จะตีความว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ทำให้มีผลต่อการเลื่อนอันดับบน Search Engine ดังนั้น ผู้เขียนบทความ SEO จึงควรแทรกลิงก์ไปยังบทความอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ตนเองด้วย เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

6.ทำ Backlinks เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย สามารถทำได้โดยการนำลิงก์บทความไปฝากไว้ในเว็บไซต์อื่น เช่น การเขียนบทความสั้น ๆ แล้วแทรกลิงก์โพสต์ใน Social Media (Facebook, Twitter หรือ Instagram) ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังช่วยขยายฐานกลุ่มเป้าหมายด้วย

การเขียนบทความ SEO เป็นสิ่งที่นักธุรกิจในปัจจุบันควรให้ความสำคัญ และทำด้วยวิธีการที่ถูกต้อง จะช่วยในการต่อยอดธุรกิจและสร้างฐานลูกค้ารุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

การทำ SEO ตอบโจทย์ธุรกิจให้เติบโตทางออนไลน์ได้อย่างไร

การทำ SEO ตอบโจทย์ธุรกิจให้เติบโตทางออนไลน์ได้อย่างไร

ทุกวันนี้บรรดาบริษัทธุรกิจตระหนักดีว่าการทำ SEO คือวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อให้ถูกหลักของ Search Engine ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ถือเป็นวิธีการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมาก หลายคนเข้าใจว่าประโยชน์ข้อสำคัญคือการปรับปรุงอันดับการค้นหาเว็บไซต์ให้อยู่ในลำดับแรก ๆ ช่วยให้ค้นเจอง่ายและกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น แต่ไม่ทราบรายละเอียดอื่น ๆ ว่าการทำ SEO ช่วยส่งผลดีต่อธุรกิจให้เติบโตได้อย่างไร เราจะมาแจกแจงเป็นข้อ ๆ ให้เห็นภาพมากขึ้นกัน

1.เนื้อหาคอนเทนท์เป็นประโยชน์

กลยุทธ์การทำ SEO ไม่เพียงเป็นเครื่องมือการตลาดที่ช่วยให้เว็บไซต์มีตัวตนและติดอันดับต้น ๆ ในโลกออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเน้นการปรับปรุงข้อมูลและบทความที่ครอบคลุมเนื้อหาเชิงลึกและมีหัวข้อที่หลากหลาย ถ้าเขียนคอนเทนท์ที่มีข้อมูลเป็นประโยชน์ มีคำตอบหรือข้อมูลตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ทำให้เข้ามาใช้เว็บไซต์บ่อย ยิ่งมีการเข้าใช้งานนานเท่าไร ยิ่งได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ และมีคนรู้จักมากขึ้นเท่านั้น การนำเสนอข้อมูลหลายรูปแบบทั้งบทความ รูปภาพ กราฟิก และคลิปวิดีโอบนเว็บไซต์ทำให้ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญและน่าไว้วางใจ การใช้คีย์เวิร์ดที่ค้นหาง่ายและตอบคำถามลูกค้าอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญที่ดึงดูดผู้ใช้งานมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า SEO ช่วยให้ธุรกิจอยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Google ได้อย่างไร

2.ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจผลการค้นหาในเว็บไซต์มากที่สุด

การทำ SEO มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ โดยปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ช่วยให้พบข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย มีหัวเรื่องและหัวข้อย่อย สร้างลิงก์ที่เป็นประโยชน์เชื่อมโยงเนื้อหาทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ทำให้ระบบการค้นหามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้การสร้างเว็บไซต์ที่เหมาะกับหน้าจอโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไร้สายอื่น ๆ ยังส่งผลให้ใช้งานง่าย ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ทำให้เกิดความพอใจและคลิกเข้าใช้งานเว็บไซต์เป็นระยะเวลานาน ธุรกิจมีโอกาสขายสินค้าที่ถูกใจลูกค้ารวมถึงกลับเข้ามาใช้งานต่อไปในอนาคต

3.กลยุทธ์ SEO สนองตอบความต้องการของผู้ใช้โดยตรง

มองเป้าหมายหลักในการทำ SEO จะเห็นได้ว่าการออกแบบเว็บไซต์และการทำคอนเทนท์ต่าง ๆ มีจุดประสงค์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ การจัดทำโครงสร้างเว็บไซต์มีการคิดอย่างเป็นระบบ รวมไปถึงการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองโดยคิดจากมุมมองของผู้ใช้ว่าต้องการอะไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาที่ดีขึ้น โดยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดหลัก ใช้คำและวลีที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ รวมทั้งเขียนคำอธิบายเนื้อหาย่อ หรือ Meta Tag ด้วยคำสั้น กะทัดรัด ชัดเจน แสดงข้อมูลที่มีประโยชน์และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง

กลยุทธ์ SEO คือการวิเคราะห์ว่าผู้ใช้กำลังค้นหาอะไรพร้อมกับคาดแนวโน้มพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบัน ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงความต้องการได้ดีขึ้นและตอบโจทย์ความพึงพอใจได้มากที่สุด เมื่อผู้ใช้พอใจบริการ ตลอดจนพอใจสินค้านั้นจะกลับเข้ามาใช้งานอีก ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับแรก ๆ ใน Google เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเจอเว็บไซต์ง่ายและคลิกเข้ามายังเว็บไซต์มากขึ้น