7 คุณประโยชน์ของการทำ SEO

7 คุณประโยชน์ของการทำ SEO

7 คุณประโยชน์ของการทำ SEO

ประโยชน์สำคัญ 7 ประการของ SEO มีดังนี้

1.เพิ่มการเข้าชมและการมองเห็นทั่วไป SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) สำหรับคำหลักที่เกี่ยวข้อง สิ่งนี้นำไปสู่การเข้าชมที่เกิดขึ้นเองมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้คนจะค้นหาเว็บไซต์ของคุณอย่างเป็นธรรมชาติผ่านเสิร์ชเอ็นจิ้น ซึ่งต่างจากการโฆษณาแบบเสียเงิน

2.ความคุ้มทุน เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) แล้ว SEO นำเสนอแนวทางระยะยาวและคุ้มค่ากว่าในการดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ แม้ว่าอาจมีต้นทุนการลงทุนเริ่มแรกในเครื่องมือหรือผู้เชี่ยวชาญ แต่ประโยชน์ที่ได้รับอย่างต่อเนื่องอาจมีค่ามากกว่าการใช้จ่ายเริ่มแรก

3.ปรับปรุงความน่าเชื่อถือและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ การจัดอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาสามารถสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณได้ ผู้ใช้มักมองว่าเว็บไซต์ที่อยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหาเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และน่าเชื่อถือมากกว่า

4.การเข้าชมที่เป็นเป้าหมายและผู้ชมที่เกี่ยวข้อง SEO ที่มีประสิทธิภาพช่วยดึงดูดผู้ใช้ที่สนใจสิ่งที่คุณนำเสนออย่างแท้จริง ด้วยการกำหนดเป้าหมายคำหลักที่เกี่ยวข้องและเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของคุณ คุณจะสามารถเข้าถึงผู้ชมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากขึ้นซึ่งกำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คล้ายกับของคุณ

5.โปรโมชั่น 24/7 เว็บไซต์ของคุณยังคงทำงานให้คุณต่อไปแม้ว่าคุณจะไม่ได้โปรโมตก็ตาม SEO ช่วยให้มั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณจะปรากฏแก่ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ โดยจะมีการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

6.ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ได้รับการปรับปรุง (UX) แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้าน SEO หลายประการ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วเว็บไซต์และความเป็นมิตรกับมือถือ ยังช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมของผู้เยี่ยมชมอีกด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น อัตราตีกลับที่ลดลง และอาจเพิ่มอัตรา Conversion ได้อีกด้วย

7.ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล SEO เกี่ยวข้องกับการติดตามปริมาณการใช้เว็บไซต์และพฤติกรรมผู้ใช้ผ่านเครื่องมือวิเคราะห์ ข้อมูลนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับความต้องการและความชอบของผู้ชม ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งกลยุทธ์เนื้อหาของคุณและทำการตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลเพื่อปรับปรุงการทำ SEO ของคุณให้ดียิ่งขึ้น

คู่แข่ง seo

คู่แข่ง seo

คู่แข่ง seo

คู่แข่ง SEO คือเว็บไซต์ที่มีอันดับสูงจากคำหลักเดียวกันกับที่คุณกำหนดเป้าหมาย พวกเขาอาจเป็นคู่แข่งทางธุรกิจโดยตรง หรืออาจเป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คล้ายคลึงกัน

การระบุคู่แข่ง SEO ของคุณเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้คุณสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์และเรียนรู้จากความสำเร็จของพวกเขาได้ คุณสามารถระบุคู่แข่ง SEO ของคุณได้โดยการค้นหาคำหลักเป้าหมายของคุณในเครื่องมือค้นหาและสังเกตเว็บไซต์ที่อยู่ด้านบนสุดของหน้าผลลัพธ์ คุณยังสามารถใช้เครื่องมือ SEO เช่น Semrush และ Ahrefs เพื่อระบุคู่แข่ง SEO ของคุณและวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับของพวกเขา

เมื่อคุณระบุคู่แข่ง SEO ของคุณได้แล้ว คุณควรใช้เวลาในการวิเคราะห์เว็บไซต์ของพวกเขา ดูปัจจัยต่อไปนี้

1.คำหลัก พวกเขากำหนดเป้าหมายคำหลักอะไร พวกเขาใช้คำหลักเหล่านั้นในเนื้อหาและองค์ประกอบ HTML อย่างไร

2.เนื้อหา พวกเขาสร้างเนื้อหาประเภทใด พวกเขาเผยแพร่เนื้อหาใหม่บ่อยแค่ไหน?

3.Backlinks มี Backlinks กี่อัน? คุณภาพของลิงก์ย้อนกลับเหล่านั้นคืออะไร?

4.เทคนิค SEO เว็บไซต์ของพวกเขามีเทคนิคที่ดีหรือไม่? มันโหลดเร็วและใช้งานง่ายหรือเปล่า?

ด้วยการวิเคราะห์คู่แข่ง SEO ของคุณ คุณสามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขาได้ จากนั้นคุณสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ของคุณเองและมีอันดับเหนือกว่าในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา

การแข่งขันกับคู่แข่ง SEO ของคุณ

1.สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง เนื้อหาของคุณควรดีกว่าเนื้อหาของคู่แข่ง ควรให้ข้อมูล มีส่วนร่วม และเกี่ยวข้องกับคำหลักเป้าหมายของคุณ

2.สร้างลิงก์ย้อนกลับ ลิงก์ย้อนกลับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO คุณสามารถสร้างลิงก์ย้อนกลับได้โดยการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่เว็บไซต์อื่นต้องการเชื่อมโยงไป คุณยังสามารถติดต่อกับเว็บไซต์อื่นๆ และขอให้พวกเขาเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาของคุณได้

3.ปรับปรุง SEO ทางเทคนิคของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณใช้งานได้ดีในทางเทคนิค โหลดได้รวดเร็วและใช้งานง่าย

4.อดทน ต้องใช้เวลาเพื่อดูผลลัพธ์จาก SEO อย่าคาดหวังที่จะเอาชนะคู่แข่งของคุณในชั่วข้ามคืน เพียงแค่สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง สร้างลิงก์ย้อนกลับ และปรับปรุง SEO ทางเทคนิคของคุณต่อไป แล้วคุณจะเห็นผลลัพธ์ในที่สุด

ข้อดี ข้อเสียของ seo

ข้อดี ข้อเสียของ seo

ข้อดี ข้อเสียของ seo

นี่คือข้อดีและข้อเสียของ SEO

ข้อดีของseo

-การเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น SEO สามารถช่วยให้คุณดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้นโดยการปรับปรุงอันดับในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การรับรู้ถึงแบรนด์ โอกาสในการขาย และยอดขายที่เพิ่มขึ้น

-ความน่าเชื่อถือที่ได้รับการปรับปรุง เมื่อเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าก็จะดูน่าเชื่อถือมากขึ้น สิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณสร้างความไว้วางใจและอำนาจในอุตสาหกรรมของคุณได้

-ผลลัพธ์ที่วัดได้ SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่วัดผลได้ ดังนั้นคุณจึงสามารถติดตามความคืบหน้าและดูว่าความพยายามของคุณส่งผลต่อการเข้าชมเว็บไซต์และ Conversion ของคุณอย่างไร

-ประโยชน์ระยะยาว SEO สามารถช่วยให้คุณปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ตลอดเวลา แม้ว่าคุณจะหยุดเพิ่มประสิทธิภาพอย่างแข็งขันก็ตาม เนื่องจากเครื่องมือค้นหาให้รางวัลเว็บไซต์ที่ให้เนื้อหาคุณภาพสูงและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี

-คุ้มค่า SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับช่องทางอื่นๆ เช่น การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย

ข้อเสียของseo

-ใช้เวลานาน SEO ต้องใช้เวลาในการดูผลลัพธ์ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่สำคัญ

-ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง SEO เป็นกระบวนการต่อเนื่อง คุณต้องเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณต่อไปเพื่อรักษาอันดับของคุณในผลการค้นหา

-ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค SEO ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคบางประการ คุณต้องเข้าใจว่าเครื่องมือค้นหาทำงานอย่างไรและจะเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณอย่างไร

-การแข่งขัน มีการแข่งขันกันมากมายเพื่อการจัดอันดับสูงสุดในผลการค้นหา ซึ่งหมายความว่าคุณต้องสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและสร้างลิงก์ย้อนกลับไปยังเว็บไซต์ของคุณหากคุณต้องการอันดับที่ดี

-การเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม เครื่องมือค้นหาอัปเดตอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าคุณต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงล่าสุดเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณยังคงได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม

โดยรวมแล้ว SEO เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีคุณค่าซึ่งสามารถช่วยให้คุณดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ปรับปรุงความน่าเชื่อถือ และเพิ่มผลกำไรของคุณ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องทราบข้อดีข้อเสียของ SEO ก่อนที่จะเริ่มใช้งาน

สิ่งที่ควรคำนึงถึงเพิ่มเติมเมื่อพิจารณา SEO

1.ประเภทธุรกิจที่คุณมี SEO ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกธุรกิจ มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการทางออนไลน์

2.งบประมาณของคุณ SEO อาจมีราคาแพง โดยเฉพาะหากคุณจ้างเอเจนซี่ SEO มืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณด้วยตัวเอง

3.ความตั้งใจของคุณที่จะเรียนรู้ SEO เป็นเรื่องที่ซับซ้อน หากคุณไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณอาจไม่ประสบความสำเร็จ

หากคุณกำลังพิจารณา SEO สำหรับธุรกิจของคุณ สิ่งสำคัญคือต้องทำการวิจัยและค้นหาเอเจนซี่หรือที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงเพื่อช่วยเหลือคุณ คุณควรเตรียมพร้อมที่จะลงทุนเวลาและเงินในกระบวนการนี้ด้วย

seo คืออะไร

seo คืออะไร

seo คืออะไร

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์เพื่อให้มีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs) ซึ่งสามารถทำได้โดยการปรับปรุงเนื้อหา โครงสร้าง และลิงก์ของเว็บไซต์

SEO มีสองประเภทหลัก: SEO ในหน้าและ SEO นอกหน้า On-page SEO หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่สามารถทำได้กับตัวเว็บไซต์เอง เช่น การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การเขียนเนื้อหาคุณภาพสูง และการปรับโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสม Off-page SEO หมายถึงกิจกรรมที่ทำนอกเว็บไซต์ เช่น การสร้างลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่น

SEO เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่อาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ ด้วยการปฏิบัติตามกลยุทธ์ SEO ที่เหมาะสม ธุรกิจสามารถปรับปรุงการมองเห็นทางออนไลน์และเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้มากขึ้น

-การเข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น

-เพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์

-ปรับปรุงการสร้างโอกาสในการขาย

-ยอดขายที่เพิ่มขึ้น

-เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

หากคุณต้องการปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณในเครื่องมือค้นหา SEO เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มีแหล่งข้อมูลมากมายที่จะช่วยให้คุณเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO และยังมีผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่มีประสบการณ์มากมายที่สามารถช่วยคุณใช้กลยุทธ์ SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณ

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อ SEO มีดังนี้

1.คำหลัก : คำหลักที่คุณกำหนดเป้าหมายในเนื้อหาและแท็กชื่อเว็บไซต์ของคุณมีความสำคัญมากสำหรับ SEO คุณต้องการเลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและผู้คนมีแนวโน้มที่จะค้นหา

2.เนื้อหา : คุณภาพและความเกี่ยวข้องของเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ SEO เนื้อหาของคุณควรเขียนได้ดี ให้ข้อมูล และเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

3.โครงสร้าง : โครงสร้างเว็บไซต์ของคุณมีความสำคัญต่อ SEO เช่นกัน เว็บไซต์ของคุณควรใช้งานง่ายและควรจัดระเบียบในลักษณะที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

4.ลิงก์ : ลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่นเป็นปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับ SEO ลิงก์ย้อนกลับคือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ ยิ่งคุณมีลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์คุณภาพสูงมากเท่าใด เว็บไซต์ของคุณก็จะยิ่งติดอันดับในเครื่องมือค้นหามากขึ้นเท่านั้น

หากคุณต้องการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณ คุณควรให้ความสำคัญกับปัจจัยเหล่านี้ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับปัจจัยเหล่านี้ คุณสามารถปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณในเครื่องมือค้นหาและดึงดูดผู้เยี่ยมชมมายังเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น

แนะนำเครื่องมือช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

แนะนำเครื่องมือช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

แนะนำเครื่องมือช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

การทำเว็บไซต์ต้องมาคู่กับสร้างเนื้อหาภายในด้วยหลักการ SEO on-page Structure เพื่อบูสต์เว็บไซต์ให้ผู้สืบค้นมองเห็นง่ายที่สุด ซึ่งเครื่องมือสำหรับการตลาดออนไลน์ สำหรับใช้สืบค้นคีย์เวิร์ด ค้นหาเทรนด์นั้นมีมากมาย ทำให้ผู้เริ่มต้นทำเว็บไซต์ต้องคัดกรองเครื่องมือสำหรับการทำ SEO ให้เหมาะสมที่สุด ซึ่งเครื่องมือจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยดีกว่า

Google Trend

Google Trends เป็นเครื่องมือใช้ค้นหาแนวโน้มว่าเรื่องอะไรกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในประเทศนั้น แล้วนำคำค้นหาที่เกี่ยวข้องทำเป็นคีย์เวิร์ดในบทความ SEO และเครื่องมือดังกล่าวยังแสดงคีย์เวิร์ดที่เนื้อหาคล้ายกันอีกด้วย เช่น คีย์เวิร์ด ”ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เป็นคำค้นหายอดนิยมสูงสุด และคำสืบค้นที่จำนวนเสิร์ชรองลงมา ได้แก่ “เว็บลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565” และ “ลงทะเบียนบัตร สวัสดิการแห่ง รัฐ 2565 ผ่านเว็บ” โดยเราสามารถนำคำสืบค้นสูงสุดเป็นคีย์เวิร์ดหลัก ส่วนคำสืบค้นที่รองลงมาคือ คีย์เวิร์ดรอง

การแสดงผลคีย์เวิร์ด Google Trend อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับเครื่องมืออื่นมากนัก เนื่องจากไม่ได้แสดงจำนวน Search Volume ที่ชัดเจน ทำให้บางช่วงเป็นเทรนด์ของเนื้อหาเว็บไซต์นั้นๆ จำนวนสืบค้นก็อาจสูงเกินกว่าความเป็นจริง เช่น คำค้นหา “แอร์” จะพุ่งสูงในช่วงหน้าร้อน หรือคำว่า “ร่ม” มีโอกาสเพิ่มขึ้นในฤดูฝน ส่งผลให้การค้นหาในช่วงฤดูกาลอื่น ๆ เว็บไซต์เราก็อาจมี Traffic น้อยลงมาก

การใช้ Google Trend จึงเหมาะสำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ดแบบคร่าว ๆ ไม่ได้ช่วยการสร้างเนื้อหา SEO ดีมากนัก

Ubersuggest

เป็นเครื่องมือที่จำกัดการใช้งาน หากการค้นหาคีย์เวิร์ดเกินกว่าจำนวนครั้งที่กำหนด ผู้ใช้งานต้องจ่ายเงินเพื่อใช้งานอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ Ubersuggest ช่วยในการทำอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีตัวเลขที่ช่วยวิเคราะห์การสร้างเนื้อหา SEO ได้ดีขึ้น ซึ่งตัวเลขที่ควรทราบได้แก่ 1SEO Difficulty 2.Paid Difficulty 3.Cost Per Click

SEO Difficulty (SD) 

  บ่งบอกถึงระดับการแข่งขันของคำสืบค้นนั้นๆ โดยบางธุรกิจมีการค้นหาน้อย เพราะเป็นธุรกิจเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ผู้ทำเว็บจึงมีจำนวนไม่มาก ทำให้ระดับ SEO Difficulty อาจอยู่ที่ 10 – 20 แต่บางคีย์เวิร์ดแข่งขันรุนแรง จำนวนเว็บไซต์มีมาก ระดับ SEO Difficulty มีโอกาสอยู่สูงกว่า 70 หรืออยู่เกือบ 100 

Paid Difficulty

แสดงความยากในการทำโฆษณาเว็บไซต์ ยิ่งมีค่าสูง ย่อมหมายถึงการทำโฆษณายากขึ้น ผู้ยิงโฆษณาใน Search Engine จึงต้องวิเคราะห์และจัดทำกลยุทธ์อย่างละเอียด เพื่อมั่นใจว่าจ่ายเงินไปแล้วคุ้มค่า จนการทำโฆษณาได้ผล ยิ่งค่า Paid Difficulty สูง งบประมาณในการทำโฆษณายิ่งสูงกว่าเดิมด้วย

Cost Per Click หรือ CPC

หมายถึงค่าใช้จ่ายต่อคลิกเมื่อมีคนกดเข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งข้อดีของ CPC คือ สามารถควบคุมงบประมาณได้คุ้มค่า เพราะถ้าไม่มีผู้กดเข้ามาในเว็บไซต์ ย่อมหมายถึงเราไม่ต้องเสียเงินทำโฆษณา ซึ่งตัวเลข CPC ผู้ซื้อโฆษณาอาจทำให้ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยก็ได้ ขึ้นอยู่กับฝีมือในการยิงโฆษณา  

นอกจากนี้ Ubersuggest ยังแสดงจำนวนคีย์เวิร์ดรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเรียงลำดับ Search Volume ตั้งแต่มากที่สุดจนไปถึงจำนวนน้อยที่สุดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้เวลามากเหมือนกับ Google Trend และระบบของ Ubersuggest ยังแนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมากให้เราเลือกใช้ด้วย ทำให้การหาไอเดียทำคอนเทนต์ SEO ง่ายขึ้น

การใช้เครื่องมือหาคีย์เวิร์ด SEO ยังมีอีกมากมาย เช่น google keyword plan หรือ KeywordTool.io ที่ใช้สำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ดจำนวนคำยาวได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การทำ SEO อย่างมีคุณภาพอาจใช้ควบคู่ไปกับการจ่ายเงินซื้อโฆษณาในระยะแรกตอนเริ่มทำเว็บไซต์ก็ได้ เพราะช่วยให้เว็บไซต์เราติดอันดับเร็วขึ้น จนมีคนรู้จักอย่างรวดเร็ว

ทำความรู้จัก SEO 4 แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้

ทำความรู้จัก SEO 4 แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้

ทำความรู้จัก SEO 4 แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้

หากพูดถึงเทรนด์การตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจขนาดใหญ่ แน่นอนว่าต้องยกตำแหน่งแชมป์ให้กับ SEO หรือ Search Engine Optimization การออกแบบเว็บไซต์ให้ได้คุณภาพและอยู่ในเกณฑ์การให้คะแนนของ Search Engine ข้อดีคือเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยมแถมยังเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่เว็บไซต์ แต่รู้หรือไม่ว่า SEO นั้นมีด้วยกันหลายแบบ อีกทั้งแต่ละแบบยังแตกต่างกันอีกด้วย

SEO มีกี่แบบ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

1. On – page SEO

คือการออกแบบและปรับเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในเว็บไซต์ให้สอดคล้องหรือเป็นไปตามเกณฑ์ให้คะแนนของ Search Engine เช่น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย การเขียนคอนเทนต์สดใหม่ ไม่ลอกเลียนแบบ การใส่ Internal Link เพื่อให้สามารถกดไปยังหน้าอื่นของเว็บไซต์ได้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ นำไปสู่การประมวลและจัดอันดับเว็บไซต์นั่นเอง

2. Off – page SEO

นอกจากการปรับแต่งภายในเว็บไซต์ของตัวเองแล้ว ต้องอย่าลืมทำ Backlink หรือทำลิงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของคุณด้วยการฝากลิงค์กับเว็บไซต์อื่น เมื่อกลุ่มเป้าหมายกดมาเข้ามาสู่เว็บไซต์ แน่นอนว่าจำนวน traffic จะมากขึ้น และเมื่อเว็บไซต์ได้รับความนิยม โอกาสติดหน้าแรกการค้นหาก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย แต่ขอบอกก่อนว่าไม่ควรฝากลิงค์มากเกินไป แนะนำให้เลือกฝากกับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ

3. SEO สายขาว

การทำ SEO สายขาวคือการทำ SEO แบบตรงไปตรงมาและรอคอยจนกว่าผลลัพธ์จะค่อย ๆ เป็นไปตามต้องการ เป็นการออกแบบเว็บไซต์ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์การให้คะแนนจาก Search Engine เช่น การวิเคราะห์คียเวิร์ดและปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ดให้เข้ากับเทรนด์การค้นหาเสมอ การทำ Internal Link การทำ External Link การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย วิธีนี้จะไม่เห็นผลทันตาแต่ต้องรอผลลัพธ์ประมาณ 3-6 เดือน กว่าเว็บไซต์จะเริ่มติดอันดับดี ๆ จุดเด่นคือความเสี่ยงต่ำและได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

4. SEO สายเทา

ในเมื่อมี SEO สายขาวแล้วแน่นอนว่าต้องมี SEO สายเทา หรือการวิเคราะห์จุดอ่อนอัลกอริทึมของ Search Engine และใช้จุดอ่อนนั้นมาช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา ไม่ว่าจะเป็น การทำสแปมคีย์เวิร์ด การฝากลิงค์เว็บไซต์อื่นมากเกินไป การทำ Cloaking หรือการตั้งใจทำคอนเทนต์ให้คนเห็นอีกแบบหนึ่ง ในขณะที่ระบบบอทจะมองเห็นอีกแบบหนึ่ง แม้วิธีนี้จะทำให้เว็บไซต์ก้าวสู่อันดับดี ๆ ได้เร็วขึ้น แต่เป็นการหวังผลระยะสั้น หาก Search Engine ตรวจจับได้จะทำให้ถูกแบนและไม่มีโอกาสติดอันดับดี ๆ อีกเลย

จะเห็นว่าการทำ SEO สามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีวิธีแตกต่างกันแถมผลลัพธ์ยังแตกต่างกันอีกด้วย เพราะฉะนั้นนักการตลาดจึงควรศึกษาการทำ SEO แต่ละรูปแบบ รวมถึงจุดเด่นและจุดด้อยของการทำ SEO รูปแบบนั้น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าหากทำได้ กลุ่มเป้าหมายจะมีโอกาสเห็นสินค้าและบริการของคุณ จนสร้างการจดจำได้ในที่สุด

บทความ SEO คืออะไร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับ Google

บทความ SEO คืออะไร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับ Google

บทความ SEO คืออะไร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับ Google

บทความ SEO คือการทำ Content ผ่านบทความโดยหวังผลให้เว็บไซต์หรือเพจที่ทำนั้นเป็นที่รู้จักและติดอันดับหน้าค้นหาของ Search Engine ชื่อดังอย่าง Google ซึ่งบทความดังกล่าวจะต้องมีเนื้อหาที่น่าสนใจและโครงสร้างที่ถูกต้องตามหลักและข้อกำหนดของ Google โดยเนื้อหาของบทความจะต้องเป็นการเขียนใหม่หมด ภายใต้ข้อมูลที่แท้จริง สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาของความรู้เหล่านั้นได้ ไม่มีการ Copy บทความมาลง เพราะถือเป็นการทำผิดกฎของการทำ SEO และยังเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย

บทความธรรมดากับบทความ SEO ต่างกันอย่างไร

บทความธรรมดาอาจเป็นบทความที่เขียนภายใต้ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ หรือการเขียนเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้บุคคลที่ต้องการข้อมูลหรือเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากผู้เขียน โดยอาจจะไม่หวังผลทางการค้า ในส่วนของบทความ SEO จะเป็นการเขียนบทความเชิงการตลาดโดยนำ Keyword หรือคำที่ค้นหาเกี่ยวกับสินค้าและบริการมาใช้ผสมผสานลงไปในบทความ รวมถึงการเขียนบทความให้ตอบโจทย์กับ BOT ของ SEO ที่เข้ามาค้นหาข้อมูลเพื่อนำไปจัดอันดับเว็บไซต์ 

จะเขียนบทความอย่างไรให้ถูกใจ Google

  • บทความหรือเนื้อหาที่นำเสนอควรมีความยาวอย่างน้อย 300 คำ หรือให้ดีควรมีตั้งแต่ 500 คำขึ้นไป ยิ่งมากยิ่งดี 
  • รูปภาพประกอบสำคัญที่สุด โดยเฉพาะรูปภาพที่จัดทำขึ้นเอง ซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่นำมาใช้งาน แต่ถ้าหารูปภาพเองไม่ได้สามารถที่จะเลือกใช้จากผู้ให้บริการฟรี แต่อย่าลืมที่จะให้เครดิตแหล่งที่มาของรูปภาพด้วย 
  • เป็นบทความที่เขียนขึ้นใหม่ ไม่ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น ๆ
  • ไม่เขียนวกวนหรือใช้คำซ้ำ ๆ  
  • ไม่ใส่คีย์เวิร์ดที่มากและถี่จนเกินไป เพราะทาง BOT อาจมองดูว่าเป็นการ Spam Keyword 
  • เนื้อหาที่เขียนควรมีความชัดเจนว่าเขียนเกี่ยวกับอะไรและเกี่ยวข้องกับเว็บด้วย
  • การจัดลำดับโครงสร้างภายใน การใช้ H1, H2, H3, H4 จะได้รับความน่าสนใจมากกว่าการไม่มีหัวข้อใด ๆ เลย
  • การเขียนบทความควรเขียนโดยผู้รู้หรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งจะให้ความน่าเชื่อถือและน่าสนใจมากกว่า
  • มีการอัปเดตข้อมูลและบทความภายในเว็บไซต์อยู่สม่ำเสมอ

จะเห็นว่าการเขียนบทความ SEO มีความสำคัญอย่างยิ่งกับเว็บไซต์หรือธุรกิจที่ต้องการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อแข่งขันให้ลูกค้าสามารถมองเห็นข้อมูล เว็บไซต์ของตนเองในลำดับการค้นหาหน้าต้น ๆ ยิ่งอยู่ในลำดับ 1 – 5 ยิ่งจะได้รับการคลิกเพื่อเข้าใช้งานของผู้ที่สนใจมากขึ้น ยิ่งสร้างทราฟฟิคเข้ามาที่เว็บไซต์มากเท่าไรยิ่งเป็นผลดีต่อเว็บไซต์และธุรกิจมากเท่านั้น 

เมื่อทุกอย่างที่เตรียมไว้ได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ภายใต้ข้อกำหนด ระเบียบต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ที่เหลือก็รอเพียงแค่เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและน่าติดตามมากแค่ไหน 

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization คือเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเพราะมีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเจอธุรกิจคุณง่ายขึ้น ทำให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก เพิ่มความน่าเชื่อถือ รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย และแม้ว่าหลายธุรกิจเลือกทำ SEO ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ในการดูแลและหากลยุทธ์ผลักดันให้เว็บไซต์ไต่ขึ้นหน้าแรกผลการค้นหา แต่เพราะปัจจุบันมีบริษัทจำนวนมากรับทำ SEO แต่จะเลือกอย่างไรและต้องพิจารณาอะไรบ้างเพื่อให้ได้ร่วมงานกับบริษัทรับทำ SEO ที่เจ๋งจริงและทำให้ธุรกิจของคุณโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

1. มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

การทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยบริษัทที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เนื่องจากระบบหลังบ้านของ Search Engine มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนเสมอ ซึ่งบริษัทรับทำ SEO ต้องตามให้ทัน เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีเครื่องมือทำ SEO ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเครื่องมือเกิดใหม่มักมาพร้อมฟีเจอร์น่าสนใจ ซึ่งหากบริษัท SEO หมั่นอัปเดตเทรนด์และหาความรู้ใหม่เสมอ ย่อมสร้างความได้เปรียบในการทำ SEO

2. ราคาสมเหตุสมผล

ด้วยความที่ SEO เป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีบริษัทรับทำ SEO เกิดขึ้นจำนวนมาก การตัดราคาหรือนำเสนอราคาที่ถูกที่สุดจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากพบว่าบริษัทใดนำเสนอราคาถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดก็อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือก เพราะบางครั้งราคาถูกมาพร้อมคุณภาพที่ลดลงตามราคา ซึ่งหากเจอบริษัทใดราคาถูกมา ๆ แนะนำให้คุยรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงขอดูผลงานเก่าเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าตัดสินใจเลือกบริษัทไม่ผิด 

3. บริษัทที่เป็นมิตร จริงใจ และให้คำปรึกษา

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี คือบริษัทที่เลือกควรมีความจริงใจ เข้าใจความต้องการลูกค้า และเข้าใจเป้าหมายการทำ SEO ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสังเกตได้ตั้งแต่ขั้นตอนการคุยรายละเอียด บริษัทรับทำ SEO ที่ดีควรให้คำแนะนำ อธิบายขั้นตอนและวางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญต้องจริงใจ มีการทำสัญญาและระบุรายละเอียดการทำงานอย่างครบถ้วน โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

การว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ให้ดูแลและวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจคุณ เปรียบเสมือนการส่งมอบหน้าที่สำคัญให้กับบุคคลอื่น เพราะ SEO คือเครื่องมือสำคัญยิ่งในการทำการตลาดออนไลน์ บริษัทรับทำ SEO จึงมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ทะยานสู่อันดับต้น ๆ เพราะฉะนั้นท่านเจ้าของธุรกิจจึงควรพิจารณาให้ดีว่าบริษัทที่เลือกมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญมากเพียงใด เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนว่าจ้างและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการทำการตลาดอีกด้วย

กลยุทธ์ SEO และ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

กลยุทธ์ SEO และ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

กลยุทธ์การโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาใน Google มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบที่ได้รับความนิยมและมักจะมาคู่กันคือ SEO และ SEM มาดูคำตอบกันว่าการทำตลาดทั้งสองแบบคืออะไรและมีความแตกต่างกันอย่างไร

1.การทำ SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือการใช้เทคนิคปรับแต่งเว็บไซต์หรือเนื้อหาของสื่อที่ลงในโซเชียลมีเดียรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแทรกคีย์เวิร์ดที่เป็นคำค้นหายอดนิยม หรือการเขียนบทความให้ได้รับการจัดอันดับที่ดีจาก Goolge รวมไปถึงการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย เลือกรูปภาพและคลิปวิดีโอที่มีขนาดพอเหมาะซึ่งมีผลต่อการปรับแต่งเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว ตลอดจนการสร้างลิงก์คุณภาพย้อนกลับมายังเว็บไซต์ วิธีการเหล่านี้เป็นเครื่องมือโปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้ Google 

2.การทำ SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing คือเทคนิคการตลาดรูปแบบหนึ่งที่มีการจ่ายเงินซื้อโฆษณาบน Google โดยเรียกเก็บเงินตามจำนวนคลิก หรือ Pay Per Click ซึ่งหมายถึงการจ่ายค่าโฆษณาตามอัตราการคลิกที่เกิดขึ้น โดยคิดค่าโฆษณาจากการคลิกคีย์เวิร์ดที่ประมูลได้ เช่น เว็บไซต์ลงโฆษณาโดยใช้คีย์เวิร์ดว่ารองเท้าเด็ก กำหนดราคาคลิกละ 5 บาท เมื่อเว็บไซต์ลงโฆษณาและมีคนคลิกเข้ามา เจ้าของเว็บไซต์ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาให้ Google คลิกละ 5 บาท แต่ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาก็ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ถ้าคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันสูงหมายถึงอัตราการประมูลต่อคลิกจะแพงขึ้นด้วย

เห็นได้ว่าการทำ SEO และ SEM มีความแตกต่างกัน ถ้าจะเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียจะสรุปโดยย่อให้ดังนี้

-การทำ SEO มีข้อดีในด้านความประหยัดต้นทุน เพราะไม่เสียค่าโฆษณาและไม่เสียค่าคลิก เหมาะสำหรับธุรกิจใหม่ที่ยังมีงบประมาณไม่มากนัก ข้อเสียคือใช้เวลามากในการทำให้เว็บไซต์ไต่อันดับขึ้นมาและต้องทำ SEO อย่างต่อเนื่องทำให้มีอัตราการคลิกเข้าชมสูง  นอกจากนี้ยังต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการปรับคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมตลอดเวลา แต่ชดเชยด้วยการแสดงผลตลอด 24 ชั่วโมงและเพิ่มยอดขายต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย

-การทำ SEM มีข้อดีในด้านผลลัพธ์ที่รวดเร็ว โฆษณาวิธีนี้ผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับที่สูงใน Google รวดเร็วใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น สามารถกำหนดวันและช่วงเวลาในการแสดงผล รวมถึงกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้มาเข้าชมได้อย่างเจาะจงมากกว่าการทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย ที่อยู่ ทำให้การโฆษณามีความคล่องตัวจะเปิดหรือปิดเมื่อไรก็ได้ สามารถเก็บข้อมูลคำค้นหาต่าง ๆ และเลือกคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังเลือกใช้คีย์เวิร์ดได้จำนวนมากด้วย ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือมีต้นทุนสูง มีค่าใช้จ่ายต้องเสียค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้น ต้องเพิ่มงบโฆษณาเพื่อให้มียอดคลิกเข้าชมจำนวนมากขึ้น และถ้างบโฆษณาหมดหรือปิดโฆษณาไปแล้ว เว็บไซต์จะไม่แสดงผลบน Google  

ทั้งสองรูปแบบให้ประโยชน์และทำควบคู่กันได้ช่วยให้การทำตลาดออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEM เพื่อเอามาทำ SEO หรือสลับกันคือวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEO เพื่อเอามาทำ SEM ก็ได้ นำมาใส่ในบทความเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากที่สุดนั่นเอง

9 ระบบ AI Algorithm ของ Google ที่สำคัญต่อการทำ SEO

9 ระบบ AI Algorithm ของ Google ที่สำคัญต่อการทำ SEO

AI Algorithm หรือระบบการค้นหาของ Google คือส่วนสำคัญที่สุดสำหรับการทำ SEO เนื่องจาก ทุกครั้งที่เราทำ SEO จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบโดยระบบ AI Algorithm ของ Google เสียก่อน หากเว็บไซต์หรือเนื้อหาของเราผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การทำ SEO ให้ติดอันดับบน Google Search ก็จะง่ายมากยิ่งขึ้น 

ในวันนี้เรามาทำความรู้จัก AI Algorithm ของ Google แต่ละ Bot กัน เพื่อให้เราได้ทราบว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ หากอยากให้ SEO ของเราติดอันดับต้น ๆ 

1.Panda 

ระบบตรวจสอบการคัดลอกเนื้อหา ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดอันดับของเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพตลอดจนเว็บไซต์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้เข้าชมให้หายออกไปจาก Google ด้วยเหตุนี้คุณภาพของเนื้อหาสำนวนที่ใช้ รวมไปถึง แหล่งข้อมูล จึงต้องมีความน่าเชื่อถือทั้งหมด 

2.Penguin 

ระบบเพนกวิน คือระบบตรวจสอบ Backlink ที่เรานำมาใช้ว่ามีคุณภาพ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเนื้อหามากน้อยเพียงใด ตลอดจนความน่าเชื่อถือของ Backlink ซึ่งส่งผลการต่ออันดับ SEO โดยตรง

3.Pirate

ระบบที่คอยตรวจสอบมาตรฐานและการละเมิดลิขสิทธิ์ของเนื้อหา รูปภาพ และทุกสิ่งที่เรานำมาใช้งานภายในเว็บไซต์ ซึ่งหากตรวจพบการละเมิดลิขสิทธิ์ เว็บไซต์ของเราก็จะถูกลดระดับการมองเห็นลงในทันที

4.Hummingbird

นกฮัมมิ่งเบิร์ดคือระบบตรวจสอบการใช้ Keyword ล่วงหน้า ที่จะแสดงผลให้เราได้เห็นจากช่องการค้นหาบน Google เพื่อประมวลผลให้เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง ปรากฎในระบบการค้นหาของเรานั่นเอง

5.Pigeon

ระบบจัดอันดับสิ่งที่ผู้คนค้นหาตามพื้นที่ต่าง ๆ มากที่สุด ซึ่งพิราบจะแสดงหน้า เพจและเว็บไซต์ ของ ร้านค้า หรือบริการที่ผู้คนสนใจมากที่สุด ขึ้นให้ผู้ค้นหาได้เห็นเป็นอันดับแรก

6.Mobile Friendly Update

ระบบนี้ทำงานคล้ายกับระบบพิราบ เพียงแต่ระบบ Mobile Friendly จะจัดอันดับร้านค้า หรือบริการจากสถิติการค้นหาผ่าน Google Search บนโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

7.RankBrain

ระบบการค้นหากลุ่มคำ เพื่อคัดกรองเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงตามความต้องการของผู้ค้นหา โดยระบบจะประมวลผลจากเนื้อหาภายในบทความที่เรานำมาลงบนเว็บไซต์ หากมีคำที่ตรงหรือสอดคล้องกับคำที่ใช้ค้นหา เว็บไซต์นั้น ๆ ก็จะติดอันดับต้น ๆ ของ SEO 

8.Possum

ระบบนี้ทำงานเกี่ยวกับการจัดเตรียมและแสดงข้อมูลเฉพาะร้านค้าหรือบริการที่อยู่ใกล้เคียงผู้ค้นหา เพื่อให้ร้านค้าและบริการเหล่านั้นขึ้น SEO อันดับต้น ๆ 

9.Fred

คือระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาล่าสุด เพื่อตอบตรวจสอบเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพ ตลอดจนประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ เพื่อจัดอันดับให้อยู่ 1-3 ของระบบการมองเห็นบน Google นั่นเอง 

แม้ว่าการทำ SEO ให้ได้ประสิทธิภาพนั้น จะต้องผ่านการตรวจสอบมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากเราสามารถทำตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ เว็บไซต์ของเราก็จะติดอันดับต้น ๆ ของ SEO ได้นานมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นข้อได้เปรียบและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของเราได้อีกด้วย