แนะนำเครื่องมือช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

แนะนำเครื่องมือช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น

การทำเว็บไซต์ต้องมาคู่กับสร้างเนื้อหาภายในด้วยหลักการ SEO on-page Structure เพื่อบูสต์เว็บไซต์ให้ผู้สืบค้นมองเห็นง่ายที่สุด ซึ่งเครื่องมือสำหรับการตลาดออนไลน์ สำหรับใช้สืบค้นคีย์เวิร์ด ค้นหาเทรนด์นั้นมีมากมาย ทำให้ผู้เริ่มต้นทำเว็บไซต์ต้องคัดกรองเครื่องมือสำหรับการทำ SEO ให้เหมาะสมที่สุด ซึ่งเครื่องมือจะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยดีกว่า

Google Trend

Google Trends เป็นเครื่องมือใช้ค้นหาแนวโน้มว่าเรื่องอะไรกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในประเทศนั้น แล้วนำคำค้นหาที่เกี่ยวข้องทำเป็นคีย์เวิร์ดในบทความ SEO และเครื่องมือดังกล่าวยังแสดงคีย์เวิร์ดที่เนื้อหาคล้ายกันอีกด้วย เช่น คีย์เวิร์ด ”ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เป็นคำค้นหายอดนิยมสูงสุด และคำสืบค้นที่จำนวนเสิร์ชรองลงมา ได้แก่ “เว็บลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565” และ “ลงทะเบียนบัตร สวัสดิการแห่ง รัฐ 2565 ผ่านเว็บ” โดยเราสามารถนำคำสืบค้นสูงสุดเป็นคีย์เวิร์ดหลัก ส่วนคำสืบค้นที่รองลงมาคือ คีย์เวิร์ดรอง

การแสดงผลคีย์เวิร์ด Google Trend อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับเครื่องมืออื่นมากนัก เนื่องจากไม่ได้แสดงจำนวน Search Volume ที่ชัดเจน ทำให้บางช่วงเป็นเทรนด์ของเนื้อหาเว็บไซต์นั้นๆ จำนวนสืบค้นก็อาจสูงเกินกว่าความเป็นจริง เช่น คำค้นหา “แอร์” จะพุ่งสูงในช่วงหน้าร้อน หรือคำว่า “ร่ม” มีโอกาสเพิ่มขึ้นในฤดูฝน ส่งผลให้การค้นหาในช่วงฤดูกาลอื่น ๆ เว็บไซต์เราก็อาจมี Traffic น้อยลงมาก

การใช้ Google Trend จึงเหมาะสำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ดแบบคร่าว ๆ ไม่ได้ช่วยการสร้างเนื้อหา SEO ดีมากนัก

Ubersuggest

เป็นเครื่องมือที่จำกัดการใช้งาน หากการค้นหาคีย์เวิร์ดเกินกว่าจำนวนครั้งที่กำหนด ผู้ใช้งานต้องจ่ายเงินเพื่อใช้งานอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ Ubersuggest ช่วยในการทำอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีตัวเลขที่ช่วยวิเคราะห์การสร้างเนื้อหา SEO ได้ดีขึ้น ซึ่งตัวเลขที่ควรทราบได้แก่ 1SEO Difficulty 2.Paid Difficulty 3.Cost Per Click

SEO Difficulty (SD) 

  บ่งบอกถึงระดับการแข่งขันของคำสืบค้นนั้นๆ โดยบางธุรกิจมีการค้นหาน้อย เพราะเป็นธุรกิจเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ผู้ทำเว็บจึงมีจำนวนไม่มาก ทำให้ระดับ SEO Difficulty อาจอยู่ที่ 10 – 20 แต่บางคีย์เวิร์ดแข่งขันรุนแรง จำนวนเว็บไซต์มีมาก ระดับ SEO Difficulty มีโอกาสอยู่สูงกว่า 70 หรืออยู่เกือบ 100 

Paid Difficulty

แสดงความยากในการทำโฆษณาเว็บไซต์ ยิ่งมีค่าสูง ย่อมหมายถึงการทำโฆษณายากขึ้น ผู้ยิงโฆษณาใน Search Engine จึงต้องวิเคราะห์และจัดทำกลยุทธ์อย่างละเอียด เพื่อมั่นใจว่าจ่ายเงินไปแล้วคุ้มค่า จนการทำโฆษณาได้ผล ยิ่งค่า Paid Difficulty สูง งบประมาณในการทำโฆษณายิ่งสูงกว่าเดิมด้วย

Cost Per Click หรือ CPC

หมายถึงค่าใช้จ่ายต่อคลิกเมื่อมีคนกดเข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งข้อดีของ CPC คือ สามารถควบคุมงบประมาณได้คุ้มค่า เพราะถ้าไม่มีผู้กดเข้ามาในเว็บไซต์ ย่อมหมายถึงเราไม่ต้องเสียเงินทำโฆษณา ซึ่งตัวเลข CPC ผู้ซื้อโฆษณาอาจทำให้ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยก็ได้ ขึ้นอยู่กับฝีมือในการยิงโฆษณา  

นอกจากนี้ Ubersuggest ยังแสดงจำนวนคีย์เวิร์ดรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเรียงลำดับ Search Volume ตั้งแต่มากที่สุดจนไปถึงจำนวนน้อยที่สุดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้เวลามากเหมือนกับ Google Trend และระบบของ Ubersuggest ยังแนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมากให้เราเลือกใช้ด้วย ทำให้การหาไอเดียทำคอนเทนต์ SEO ง่ายขึ้น

การใช้เครื่องมือหาคีย์เวิร์ด SEO ยังมีอีกมากมาย เช่น google keyword plan หรือ KeywordTool.io ที่ใช้สำหรับการค้นหาคีย์เวิร์ดจำนวนคำยาวได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การทำ SEO อย่างมีคุณภาพอาจใช้ควบคู่ไปกับการจ่ายเงินซื้อโฆษณาในระยะแรกตอนเริ่มทำเว็บไซต์ก็ได้ เพราะช่วยให้เว็บไซต์เราติดอันดับเร็วขึ้น จนมีคนรู้จักอย่างรวดเร็ว