คีย์เวิร์ด SEO สำคัญอย่างไรในเว็บไซต์ทางธุรกิจ

คีย์เวิร์ด SEO สำคัญอย่างไรในเว็บไซต์ทางธุรกิจ

การทำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้าน ทั้งในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ การเพิ่มลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ต่าง ๆ และที่สำคัญคือการผลิตบทความ SEO ที่มีคุณภาพ ซึ่งนับว่าเป็นหัวใจของการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

การเขียนบทความ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ต้องใส่ใจตั้งแต่การเลือกใช้คีย์เวิร์ด SEO ที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใช้พิมพ์ในช่อง Google search เพื่อการค้นหาข้อมูลต่างๆ

คีย์เวิร์ด SEO แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

1. focus keyword คีย์เวิร์ดหลัก

เป็นคำสำคัญที่มักสั้นกระชับ ควรใส่ทั้งในบทความ ส่วนหัวเรื่อง (title) และ ส่วนสรุปย่อ (Meta description) เป็นคำที่เจ้าของกิจการออนไลน์ต้องการให้ถูกค้นพบเจอเว็บไซต์ทางธุรกิจในหน้าแรกเสมอ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการมากขึ้น

2. related keyword คีย์เวิร์ดรอง

focus keyword คือ คำที่ใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดหลัก อาจมีส่วนขยายเพิ่มทำให้มีลักษณะเป็น long-tailed keywords ซึ่งสามารถหาตัวอย่างคำได้จากช่องค้นหาของ Google หลังการกดยืนยันสืบค้นด้วยคีย์เวิร์ดหลัก

การเขียนบทความหนึ่ง ๆ ควรที่จะใช้ keyword ที่กล่าวมา อย่างละ 1 คำ โดยมีการทำซ้ำไม่เกิน 2-3 ครั้ง จึงจะไม่มีปัญหาการถูกรายงานจากระบบ algorithm ของ Google ว่าเป็น spam keyword หรือ spam content ที่อาจทำให้ถูกลดอันดับ SEO ของเว็บไซต์ลงได้

นอกจากการเลือก คีย์เวิร์ด SEO เพื่อใส่ในบทความแล้ว ยังต้องใส่ใจการทำ Meta description ที่มีคุณภาพจากคีย์เวิร์ดทั้งสองประเภท (คีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง) เนื่องจาก Meta description เป็นการสรุปรวมข้อมูลต่าง ๆ ในบทความนั้น ๆ ซึ่งอาจมีความยาวมากถึง 3,000 คำ นำมาสรุปประเด็นให้สั้น ไม่เกิน 150 คำการเขียนบทความ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

ดังนั้น จำเป็นที่ต้องนำทั้ง focus keyword และ related keyword มาใส่ให้ครบถ้วน เพื่อช่วยให้ได้อันดับ SEO ที่ดียิ่งขึ้น และทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทราบได้ว่า หากคลิกเข้ามาแล้วจะพบข้อมูลที่มีรายละเอียดในประเด็นใดบ้าง

อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ควรพลาด คือ การทำส่วน title หรือหัวข้อของบทความ ที่ควรระบุคีย์เวิร์ดหลักเอาไว้เสมอ แต่หากสามารถใส่คีย์เวิร์ดรองลงด้วยได้ ก็จะยิ่งดีต่อการสื่อความหมายของเนื้อหา ที่จะทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ต้องมีหลักการที่ชัดเจน คือ ความสั้น กระชับและใช้ภาษาที่ตรงกับลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด

จะเห็นได้ว่า การใช้คีย์เวิร์ด SEO ที่เหมาะสม จะทำให้ส่วนประกอบต่าง ๆ ทั้งหัวเรื่อง Meta description และบทความ SEO ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่ม traffic อัตราการคลิก อันดับ SEO ของเว็บไซต์ ควบคู่กับการเพิ่มยอดขายได้อย่างชัดเจน

SEO และ SEM ทำให้เว็บไซต์ขายของได้มากขึ้นจริงหรือ

การทำเว็บไซต์ออนไลน์ ในปัจจุบัน นับว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศรวมถึงความไม่เสถียรของการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้คนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะรัดเข็มขัดมากขึ้น

การจะทำให้เว็บไซต์ออนไลน์ยังขายของได้ดีในยุคปัจจุบัน จึงต้องใช้เทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า SEO และ SEM เข้ามาช่วย ซึ่งกูรูทางการตลาดการันตีว่าเห็นผลจริง

โดย SEO หมายถึง Search Engine Optimization เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ให้ตรงตามหลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Yahoo และ Google กำหนด ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

1. On-page SEO ได้แก่

ผลิตผลงานเขียนที่ใส่ keyword SEO อย่างเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยต้องไม่คัดลอกซ้ำจากแหล่งเว็บไซต์อื่น

พัฒนาเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายและสวยงาม ทั้งในโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ

มีการใช้สีและฟอนต์ตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างความจดจำและน่าดึงดูดให้เข้ามาชม

2. Off-page SEO ได้แก่

หมายถึง การแนะนำเว็บไซต์ของคุณผ่านห้องสนทนา เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงลิงก์ได้ เช่น การไปสมัครเป็นสมาชิกในห้องสนทนาแนวครอบครัว หรือ ผู้รักสุขภาพ ที่คุยกันเรื่องเทคนิคการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ปลอดโรค (กรณีที่คุณขายเครื่องฟอกอากาศ)

เมื่อมีผู้ที่สนใจอยากได้เครื่องฟอกอากาศ เพื่อลดปัญหาโรคภูมิแพ้ หอบหืด ฯลฯ คุณก็สามารถที่จะให้ลิงก์เว็บไซต์ของคุณไว้ เพื่อให้ผู้ที่สนใจคลิกเข้าไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสั่งสินค้าจากเว็บไซต์คุณ เรียกว่า เป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ และเป็นการขยายตลาดให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักในกว้างยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลให้ระบบอัลกอริทึมประมวลและวิเคราะห์จัดอันดับ SEO การเพิ่มยอดขายและรายได้จึงเห็นผลชัดหลังการทำ SEO สม่ำเสมอ 2-3 เดือน ขึ้นไป

ส่วนเทคนิคการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing ในการเพิ่มโอกาสในการขายแบบรวดเร็ว แต่ก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการทำ SEO เนื่องจากว่าต้องมีการประมูลพื้นที่ในการโฆษณา เมื่อมีการคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์จากลิงก์บน Search Engine ก็ต้องชำระค่าใช้จ่ายให้ Yahoo, Google และ Bing แบบ Pay Per Click หรือ PPC ด้วย

วิธี SEM จึงเหมาะกับช่วงเวลาที่ต้องการกระตุ้นให้มีการสั่งสินค้าโปรโมชั่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ การแนะนำคอลเลคชั่นใหม่ รวมถึงการกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลเช่น วันปีใหม่ วันวาเลนไทน์ เป็นต้น

SEM จึงช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมียอดขายที่ดีขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งควรผสมผสานกับการทำ SEO จึงจะทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเว็บไซต์ธุรกิจของคุณได้อย่างเหมาะสม เติบโตดีทางด้านยอดขาย มีกลุ่มลูกค้าเก่าและใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เทคนิคทางการตลาดที่เรียกว่า SEO และ SEM

ยุค 5G ทำไมต้องทำเว็บไซต์ SEO

ยุค 5G ทำไมต้องทำเว็บไซต์ SEO

ด้วยความก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ตยุค 5G การทำ SEO จึงสำคัญกับเว็บไซต์ออนไลน์อย่างมาก เนื่องจากการมีการศึกษาว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกนิยมสืบค้นด้วย Search Engine อย่าง Yahoo, Bing และ Google เป็นจำนวนหลายล้านครั้งต่อวัน

ซึ่งเว็บไซต์ใดที่ปรากฏผลเป็นอันดับ 1-5 ในหน้าแรก จะมีโอกาส ขายสินค้าได้มาก ทำให้ลูกค้าใหม่ ๆ รู้จักแบรนด์ และเสริมความน่าเชื่อถือได้มากกว่า

หากต้องการให้เว็บไซต์ของคุณ ถูกได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการสืบค้นด้วยอินเทอร์เน็ตยุค 5G คุณจึงควรทำ ระบบ SEO หรือ Search Engine Optimization ให้เว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ

การทำ SEO ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ On-Page SEO และ Off-Page SEO มีหลักการ ดังนี้

1. On-Page SEO

เป็นการทำให้เว็บไซต์ที่ปรากฏแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีความน่าสนใจ โดดเด่น ทั้งด้านของสีสัน ตัวอักษร โลโก้ที่เป็นเอกลักษณ์ อ่านง่ายสบายตา นอกจากนี้ ต้องสื่อถึงแบรนด์ได้ดี เช่น หากคุณทำผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้าเด็กออร์แกนิก ไม่มีสารเคมีเจือปน ก็ควรใช้สีเขียวหรือสีน้ำตาลอ่อน ที่สื่อถึงความเป็นมิตรและเป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้ การออกแบบดีไซน์ให้ใช้งานง่ายทั้งในระบบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ลูกค้า เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เนื่องจาก 80% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 5G มาจากการใช้งานผ่านหน้าจอมือถือ

ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การวิจัย Keyword SEO เพื่อใช้ในการผลิตบทความ รวมถึง ใช้ในการตั้งชื่อเพจ รูปภาพ สื่อมัลติมีเดียอื่น ๆ สำหรับประกอบในแต่ละเพจ ซึ่งควรจะกำหนดไว้เพียงแค่ 1-2 Keyword SEO วางตำแหน่งกระจายให้ทั่วทั้งเพจ จะทำให้เว็บไซต์ถูกประมวลผลจากระบบ AI อัจฉริยะของ Search Engine ให้มีอันดับ SEO สูงขึ้น จนปรากฏเป็นอันดับบน ๆ ในหน้าต่างการสืบค้นได้

2. Off-Page SEO

เป็นส่วนของการเชื่อมโยงลิงค์เว็บไซต์ภายนอก เข้าสู่เว็บไซต์การธุรกิจของคุณ หรือ ที่เรียกว่า Backlink ซึ่งเทคนิคที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ถูกโดนแบนจากโลกออนไลน์ ก็คือ การแทรกตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มสนทนา โดยให้ข้อมูลหรือความเห็นที่เป็นข้อเท็จจริง

เช่น หากคุณขายเครื่องกรองน้ำ ก็ควรอยู่ในกลุ่มของผู้รักสุขภาพเมื่อมีผู้ที่สอบถามถึงการเลือกน้ำสะอาดในรูปแบบต่าง ๆ ดื่ม คุณก็สามารถที่จะให้ข้อมูลที่เป็นหลักวิชาความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ได้ เมื่อมีผู้ที่สนใจและเชื่อมั่นในความรู้และความจริงใจของคุณ ก็จะทำให้เกิดการสอบถามลิงค์ และก็เข้ามาเยี่ยมชม เพื่อสั่งสินค้าจากเว็บไซต์คุณนั่นเอง

ยุค 5G เป็นช่วงเวลาที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างฐานลูกค้าได้ทั่วโลก ซึ่งการทำ SEO จะทำให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น หวังว่าทุกท่านจะเห็นความสำคัญของ SEO แล้วนำไปพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จได้ต่อไป

ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การวิจัย Keyword SEO

ประโยชน์ของ E-mail Marketing ให้เว็บติดอันดับหน้าแรกในการทำ SEO

ประโยชน์ของ E-mail Marketing ให้เว็บติดอันดับหน้าแรกในการทำ SEO

ทุกวันนี้การใช้โซเชียลมีเดียเป็นที่นิยมแพร่หลายเพราะเป็นวิธีการที่ติดต่อกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ ทำให้รูปแบบการใช้อีเมลดูเหมือนจะไม่ทันสมัยเอาเสียเลย แต่ความจริงแล้วยังคงมีประโยชน์อย่างสำคัญ ส่งผลในทางบวกต่อการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา (SEO) เพียงแต่ต้องปรับวิธีการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม การโฆษณาทางอีเมลเป็นช่องทางการทำการตลาดออนไลน์ที่เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์และสร้างยอดขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น พร้อมกับช่วยให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีขึ้นได้ ด้วยวิธีการเหล่านี้

1.ปรับแต่งเนื้อหาอีเมล

คัดกรองลูกค้าโดยพิจารณาความสนใจส่วนบุคคล แจ้งข่าวที่ตรงกับประวัติและความสนใจของลูกค้าเป้าหมาย เช่น ผู้รับชอบทำกิจกรรมวันหยุด จดหมายข่าวที่ส่งไปควรเป็นสินค้าหรือบริการที่มีแนวโน้มขายได้ เช่น โฆษณาเตาย่างบาร์บีคิว อุปกรณ์ทำสวน ผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้าน ข่าวสารต้องเน้นใจความสำคัญและนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเพื่อดึงดูดใจให้เข้าชมเว็บไซต์ของร้านค้า ช่วยขยายผล SEO ที่เป็นบวกมากขึ้น

2.เชื่อมโซเชียลมีเดียกับอีเมล

การตลาดทางอีเมลอย่างเดียวไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ควรมีลิงก์โซเชียลมีเดียเข้ากับอีเมลเป็นวิธีที่ดีสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ชอบแสดงความคิดเห็นและแชร์ข้อมูลได้ง่าย ๆ เนื้อหาอีเมลกระชับและน่าสนใจ กระตุ้นให้คนที่อ่านอีเมลสนใจเข้าไปอ่านเพิ่มเติมและแบ่งปันเนื้อหากับแพลตฟอร์มโซเชียลอื่น ๆ โดยมีลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บได้อีกด้วย

3.เก็บเนื้อหาอีเมล Email Marketing ทั้งหมดในเว็บไซต์

เมื่อส่งโพสต์บล็อกหรือบทความทางอีเมลแล้ว ควรโพสต์เนื้อหาทั้งหมดลงในเว็บไซต์ ในกรณีที่มีปัญหาเปิดอ่านอีเมลบนอุปกรณ์มือถือไม่ได้ รวมถึงเป็นช่องทางสำรองสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยเปิดกล่องจดหมาย แต่นิยมค้นหาข้อมูลในเครื่องมือค้นหามากกว่า ทำให้พบเนื้อหาน่าสนใจที่โพสต์ในเว็บไซต์ได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกใช้คีย์เวิร์ดหลักทั้งในจดหมายข่าวและในหัวเรื่องบทความซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาบทความที่เกี่ยวข้องได้ดีขึ้น

ประโยชน์ของ E-mail Marketing

4.บริหารรายชื่อกลุ่มเป้าหมายในอีเมล

ตรวจสอบและคัดกรองรายชื่อในอีเมลเป็นประจำ เก็บชื่อผู้รับที่เปิดอ่านอีเมลและคลิกเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ พร้อมทั้งปรับปรุงเนื้อหาคอนเทนต์ให้ถูกใจ สร้างความสนใจในสินค้าและบริการเพื่อให้คลิกเข้าอ่านเนื้อหาออนไลน์ในภายหลัง เพิ่มคะแนนของการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์จัดลำดับดีขึ้น ส่วนคนที่ไม่เคยมีส่วนร่วมเลย เช่น ไม่เคยเปิดอ่านอีเมล ไม่คลิกลิงก์เข้าไปในเว็บไซต์ ให้ใช้ระบบการตลาดอัตโนมัติคัดรายชื่อคนกลุ่มนี้ออกไป ปัจจุบันมีเครื่องมือทางการตลาดมากมาย เช่น Salesforce Pardot เป็นระบบส่งอีเมลที่เช็คได้ว่าผลตอบรับเป็นอย่างไร รู้แน่ชัดว่าใครสนใจอ่านและคลิกลิงก์เข้าชมเว็บไซต์ การวิเคราะห์การตอบรับแบบนี้ช่วยพัฒนาการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำรายชื่อลูกค้าที่เปิดอ่านอีเมลและเข้าเว็บไซต์มาติดตามขยายผลต่อไป

5.สร้างความพอใจให้แชร์กันต่อ

จุดประสงค์ของการทำการตลาดผ่านอีเมลคือสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเพิ่มโอกาสการขาย จึงไม่ควรใช้วิธีระดมส่งอีเมลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเสี่ยงถูกแจ้งเป็นสแปม ควรใช้อีเมลเป็นช่องทางแจ้งจดหมายข่าวพร้อมกับสร้างลิงก์กลับไปเว็บไซต์และกระตุ้นให้ผู้อ่านแชร์ข้อมูลออกไปให้ผู้คนเห็นมากมาย ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะคลิกเข้ามาอ่านในเว็บมากขึ้น ช่วยทำ SEO ให้เว็บไซต์ขึ้นอันดับที่ดีขึ้น

ทำไมการตลาดรุ่นใหม่จึงต้องทำ SEO

การทำ SEO จึงเป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์นักธุรกิจที่จะทำการตลาดในปัจจุบัน นิยมใช้ช่องทางออนไลน์เพราะให้ความสะดวกรวดเร็วและใช้ต้นทุนที่ต่ำ ไม่จำเป็นต้องเช่าพื้นที่หน้าร้านก็ได้ลูกค้าจากในและต่างประเทศได้ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ตลอด 24 ชั่วโมง

การทำ SEO จึงเป็นเทคนิคการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่มีคนศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้อย่างมาก ผู้ที่ทำการตลาดรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบความสำเร็จทั้งด้านยอดขายและผู้ติดตาม จึงควรทำการศึกษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะแข่งขันกับคู่แข่งทางการค้ารายอื่นได้ดีขึ้น

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ Search Engine อย่าง Yahoo และ Google กำหนดไว้ ได้แก่

1. การทำบทความ SEO ที่มีเนื้อหาน่าสนใจให้ประโยชน์แก่ผู้อ่าน มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างประเทศ ข่าวสารมีความทันสมัยและไม่มีการคัดลอกทำซ้ำจากแหล่งอื่น

2. การเลือก Keyword ที่เหมาะสมกับสินค้า และผ่านการวิจัยว่าตรงกับที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายพิมพ์ค้นหาในช่อง Search ของ Search Engine เพื่อให้มีโอกาสถูกสืบค้นเจอได้มากขึ้น ทั้งนี้ มีสองแบบ คือ Short Tail และ Long Tail Keywords ที่คุณเลือกใช้ได้ โดยปัจจุบันแนะนำให้ใช้เป็น Long Tail Keyword คือ การใช้ Keyword ผสมกันหลายคำ เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น เช่น ใช้ คำว่า ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ราคาถูกกรุงเทพ แทนการใช้คำว่า ร้านดอกไม้ออนไลน์ เป็นต้น

3. การผลิตสื่อมัลติมีเดียที่ช่วยส่งเสริมการขายได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ ควรเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่มีบุคลิกน่าสนใจ มีเทคนิคการพูดเชิญชวนหรือรีวิวสินค้าที่เป็นข้อเท็จจริง ฯลฯ จะทำให้ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในการเข้ามาชม และสอบถามข้อมูลสินค้ามากกว่า การถ่ายเป็นภาพประกอบ หรือเป็นบทความที่มีเนื้อหายาว ทั้งนี้ มีการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตยุคปัจจุบัน จะใช้เวลาในการอ่านข้อมูลเพียงแค่ 3 ถึง 5 นาที เท่านั้น การที่มีเนื้อหายาวมากเกินไปก็จะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

4. การเชื่อมโยงลิงก์ของเว็บไซต์ภายนอกเข้ามาสู่เว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ จะทำให้ได้ขยายฐานลูกค้าเป็นวงกว้างมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เช่น การไปตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการในห้องแชทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใน Facebook ห้องคุยในสังคม Pantip หรือเว็บไซต์ต่างประเทศ หากคุณสามารถแสดงความรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการที่กลุ่มคนในห้องแชทกำลังให้ความสนใจ พร้อมกับแนบ Link เว็บไซต์ของคุณได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทำไมการตลาดรุ่นใหม่จึงต้องทำ SEO

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำ SEO ที่กล่าวมา หากผสมผสานและปรับใช้กับสินค้าและบริการอย่างเหมาะสม จะทำให้เว็บไซต์มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังว่าบทความนี้ จะทำให้คุณสามารถปรับใช้ SEO กับธุรกิจ เพื่อให้เติบโตดีบรรลุเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

การใช้ Word Press กับ SEO คืออะไร

การใช้ Word Press กับ SEO คืออะไร

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการทำการตลาดออนไลน์ที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากทำให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับได้ดีในหน้าต่างการสืบค้น ทำให้มี กลุ่มเป้าหมายเข้ามาซื้อสินค้าและบริการจากเว็บไซต์มากขึ้น

การใช้ Word Press ในการทำ SEO เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ดียิ่งขึ้นโดยมีวิธีการพื้นฐานในการทำ ดังนี้

1. Word Press สามารถที่จะแปลง Title หรือ Keyword SEO ที่เลือกในการเขียนบทความ ไปเปลี่ยน URL Address ได้แบบอัตโนมัติ โดยเลือกตั้งค่าไว้ที่ Permalinks

2. คลิกที่ช่อง Heading แล้วใส่ Keyword ลงไป และเติมส่วนประกอบให้เข้ากันกับหัวข้อใหญ่หรือ Title ให้มากที่สุด ซึ่งอาจมี Heading ได้ถึง 4 หัวข้อย่อย เพื่อที่จะทำให้  Search Engine วิเคราะห์คุณภาพเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

3. คลิกที่ช่องย่อย ๆ ของการเน้นคำหรือประโยคสำคัญที่เข้ากับคีย์เวิร์ด SEO ทั้งทำตัวอักษรให้หนา ทำตัวอักษรแบบเอียงไปข้างหลัง เพิ่มการขีดเส้นใต้ เพื่อให้ Search Engine  วิเคราะห์ว่าคำเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในบทความ แต่ก็ไม่ควรเน้นมากเกินไป จนกระทั่งทำให้ระบบคิดว่าเป็นบทความสแปม ที่เน้นใส่คีย์เวิร์ดแบบไม่เป็นธรรมชาติ เพราะจะทำให้ถูกลดอันดับให้ตกลงไป

4. การใส่รูปภาพใน Word Press  จะมีช่องที่เขียนว่า Alternative Text ให้ใส่คีย์เวิร์ด SEO และรายละเอียดที่สำคัญในการทำให้ระบบ AI เข้าใจได้ว่าเป็นภาพเกี่ยวกับอะไร ซึ่งในช่องด้านล่างจะมีส่วนของ Advanced Options หรือการใส่ข้อมูลเพิ่มเติมพิเศษ ในช่องย่อยว่า Image Title Attribute ที่สามารถระบุคีย์เวิร์ดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้

5. การใส่ Link ใน Word Press ให้ไปที่ช่อง Insert/edit link ซึ่งจะมีช่องให้ Search ว่าจะให้ลิ้งค์ไปที่หน้าไหน ทำให้เพิ่มความสะดวกในการเชื่อมโยงหลาย ๆ หน้า นอกจากนี้ ไม่ควรใช้คำว่า “คลิกที่นี่”  เป็นการทำลิงค์ ควรทำเป็นประโยคโดยใส่หัวข้อเป็นลิ้งค์แทน เช่น “ความหมายของจำนวนดอกกุหลาบ” ที่เมื่อในการใช้งานจริง พอเอาลูกศรไปวาง ก็จะกลายเป็นลิงค์ ที่คลิกแล้วก็สามารถเชื่อมโยงไปอีกหน้าหนึ่งได้

6. ในช่อง Featured image และ Excerpt มีไว้สำหรับการแสดงแบบย่อให้ผู้อ่านกลุ่มเป้าหมายเข้าใจว่าถ้าคลิกเข้ามาจะเจอเนื้อหาบทความเกี่ยวกับอะไร ซึ่งถ้าไม่ระบุ ระบบ Word Press จะนำย่อหน้าที่หนึ่งของบทความขึ้นมาแสดงในหน้าต่างการสืบค้นเมื่อมีการหาใน Google, Yahoo

การทํา SEO ด้วย Word Press ช่วยประหยัดเวลาในการทำเว็บไซต์ SEO ได้ ซึ่งทำให้นักธุรกิจออนไลน์มีโอกาสประสบความสำเร็จในการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์มากขึ้น ทั้งนี้ต้องมีการปรับปรุงในส่วนโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย สวยงามดึงดูดใจลูกค้าจึงจะมียอดขายสินค้าที่ดีขึ้นตามไปด้วย

การใช้ Word Press กับ SEO

สิ่งที่ทุกคนต้องรู้ ก่อนจะเริ่มต้นทำ SEO

สิ่งที่ทุกคนต้องรู้ ก่อนจะเริ่มต้นทำ SEO

การทำเว็บไซต์ออนไลน์เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะทำให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมียอดการขายเกิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง จากการเชื่อมโยงด้วยระบบอินเตอร์เน็ตที่มีความรวดเร็วในการส่งข้อมูล ซึ่งการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ด้วยการทำ SEO เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะจะทำให้ถูกจัดอันดับดีขึ้นจาก Search Engine เพิ่มโอกาสประสบการณ์ขายสินค้าและมีลูกค้ามากขึ้นได้

ก่อนการทำ SEO นักธุรกิจออนไลน์ควรจะทำการศึกษาในประเด็นต่อไปนี้

1. Keyword ที่จะใช้ในการทำ SEO ควรจะมาจากการวิจัยแล้วพบว่าเป็นคำที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณนิยมพิมพ์ใน Google Search เพื่อสืบค้นหา เช่น ที่พักจังหวัดสงขลา โฮมสเตย์สงขลา รีสอร์ทเชียงใหม่ เป็นต้น หากเลือก keyword ได้ถูกต้องก็จะทำให้เมื่อลูกค้าสืบค้น จะมีโอกาสเห็นข้อมูลจากเว็บไซต์คุณก่อนคู่แข่งธุรกิจเจ้าอื่นได้

2. ตำแหน่งในการใส่ keyword ควรใส่ keyword ในตำแหน่งต่าง ๆ ของเว็บไซต์อย่างเหมาะสม ได้แก่

– ในบทความ ควรใส่ keyword อย่างน้อย 2 ถึง 3 ครั้งกระจายทั่วไป ทั้งบทนำ กลางเนื้อหาและสรุป และไม่ควรจะยัดเยียด Keyword ลงไปจนอ่านข้อความแล้วไม่เป็นธรรมชาติ

– ส่วน Meta-Description จะเป็นการสรุปว่าในหน้าเพจนี้อ่านแล้วจะได้เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง

– ใส่ในชื่อ URL Address เพื่อทำให้ตรงกับเนื้อหามากขึ้น

3. เสริมประสิทธิภาพของ SEO ด้วยการทำ Google AdWords กรณีที่ต้องการให้เว็บไซต์ติดตลาดเร็ว มีการแสดงในหน้าต่างการโฆษณาได้อย่างแน่นอน เพื่อให้เพิ่มโอกาสการขายสินค้าและบริการได้อย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำ Google AdWords ควบคู่ไปกับการทำ SEO ด้วย โดย Google AdWords ก็จะเป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาหรือประมูลพื้นที่ด้านบนของหน้าจอการสืบค้น แต่หากมีคู่แข่งที่ใช้ keyword เดียวกันเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้สูงขึ้น ทั้งนี้เมื่อมีการคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ทุกครั้งนั้น เจ้าของธุรกิจก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ Search Engine ด้วยซึ่งเรียกการคิดค่าใช้จ่ายแบบนี้ว่า Pay Per Click

4. การสร้างลิงก์เชื่อมโยงหรือ Backlink จะมีประโยชน์ในการเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าจากเว็บไซต์ภายนอกได้ เช่น หากคุณไปตอบคำถามเอาไว้เกี่ยวกับการเลือกซื้อแอร์ปรับอากาศและแปะลิงก์ของเว็บไซต์คุณไว้ (โดยที่คุณทำบริษัทขาย เครื่องปรับอากาศอยู่) ก็จะทำให้มีโอกาสที่ผู้อ่านการตอบคำถามของคุณ จะคลิกเข้ามาตามลิงก์ที่คุณให้ไว้นั่นเอง จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าที่มากขึ้น

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO นั้นมีเทคนิคที่หลากหลาย เป็นสิ่งที่นักทำธุรกิจออนไลน์ควรจะศึกษาก่อนการเริ่มธุรกิจ จึงจะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจได้ดี

สิ่งที่ทุกคนรู้ ก่อนจะเริ่มต้นทำ SEO

จะทำเว็บไซต์ SEO ให้บูมในปี 2019 ห้ามพลาดอะไรบ้าง

จะทำเว็บไซต์ SEO ให้บูมในปี 2019 ห้ามพลาดอะไรบ้าง

SEO หรือ search engine optimization เป็นสิ่งที่จำเป็นมากในช่วง 2-3 ปีมานี้ ในการที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกวิเคราะห์ด้วยระบบ algorithm ของ search engine ไม่ว่าจะเป็นYahoo หรือ Google แล้วให้ได้ผลลัพธ์การจัดอันดับที่สูงขึ้นเป็น Top Five Top Ten อยู่เสมอ และหากคุณอยากพัฒนาเว็บไซต์ SEO ให้บูมได้ในปี 2019 มีอะไรบ้างที่คุณห้ามพลาด มาดูกันเลย

จะทำเว็บไซต์ SEO ให้บูมในปี 2019 ห้ามอะไรบ้าง

การเพิ่มสื่อมัลติมิเดีย และรูปภาพ สินค้าจริง

นอกจากการทำ Content SEO ที่มีคุณภาพสูงแล้ว การทำ Photo Album หรือสร้างสื่อมัลติมิเดียที่เผยให้เห็นกระบวนการผลิต เป็นเรื่องราวของสินค้าและบริการ จากศูนย์จนได้เป็นสินค้าสำเร็จรูปสู่มือลูกค้า จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ของคุณให้แลดู Premium มีอัตลักษณ์และมีภาพลักษณ์ที่เป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ในส่วนของรูปถ่ายจริงก็มีความสำคัญมาก เพราะผู้บริโภคต้องการที่จะเห็นรายละเอียดได้ใกล้เคียงให้มากที่สุดกับการเห็นสินค้าจริง และเพื่อเทียบเคียงกับสินค้าประเภทเดียวกันจากแบรนด์อื่น ๆ หากคุณขายโทรศัพท์มือถือ ก็ควรจะมีทั้งภาพด้านหน้า ด้านหลัง มุมข้าง มุมเฉียงหรือภาพแบบหมุนได้ 360 องศา ที่มีการถ่ายทำอย่างมืออาชีพ โดยต้องคิดเสมอว่า “ทุกองศาของภาพมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า”

ต้องเพิ่มส่วนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

การให้โอกาสผู้ใช้สินค้าและบริการจริง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสนอแนะผ่านทาง community forum จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเก็บข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการของบริษัทคุณให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว

ส่วนนี้จึงควรบรรจุอยู่ในแพลตฟอร์มของเว็บไซต์ SEO ยุคใหม่ ปี 2019 ที่ต้องมีการจัดทีมงานตอบกลับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำหรือติชมอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจและสัมผัสได้ถึงความใส่ใจที่แบรนด์ของคุณมีต่อลูกค้าอย่างจริงใจ

การนำ AI มาใช้เพื่อผู้บกพร่องทางการมองเห็น

นอกจากส่วนเนื้อหาและโครงสร้างหลักแล้ว การทำเว็บไซต์ SEO ให้บูม ยังรวมไปถึงการใช้ AI ที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเข้าใจคอนเทนต์ที่นำเสนอได้ดียิ่งขึ้น (ตอนนี้ Facebook ได้นำทีมพัฒนาในส่วนนี้ไปแล้ว)

ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ห้ามมองข้าม เพราะเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ซึ่งจะมีปัญหาสุขภาพทางดวงตาตามวัย นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเว็บไซต์แบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้สูงวัยกว่าครึ่งค่อนโลกในอนาคตอันใกล้ด้วย

จะทำเว็บไซต์ SEO ให้บูม ห้ามพลาดอะไรบ้าง

การทำเว็บไซต์ SEO ให้บูมได้ในปี 2019 ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงติดตามเทรนด์และกระแสความต้องการของผู้บริโภคทั้งจากในประเทศและต่างประเทศที่เชื่อมโยงถึงกันในเพียงชั่วพริบตา แล้วไม่รอช้า นำไปผลิตผลงานอัพเดทขึ้นบนเว็บไซต์เป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็เชื่อว่าอันดับของเว็บไซต์คุณจะดียิ่งขึ้น จากการสืบค้นผ่าน search engine อย่างแน่นอน

จะทำ on-page SEO อย่างไร ให้มีคุณภาพ

จะทำ on-page SEO อย่างไร ให้มีคุณภาพ

การทำ on-page SEO ที่มีคุณภาพเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกจัดอันดับสูงในการสืบค้นของกลุ่มผู้ใช้ search engine อย่าง yahoo Bing google ซึ่งจะต้องทำอย่างไรจึงสามารถบรรลุวัตถุประสงค์นี้ได้ เรามาดูกันเลย

จะทำ on-page SEO อย่างไร มีคุณภาพ

on-page SEO คือ อะไร

เป็นการพัฒนาโครงสร้างและเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณสมบัติตอบโจทย์ที่ search engine จะใช้ระบบ algorithm เฉพาะในการวิเคราะห์ ซึ่งหากมีคุณภาพในการทำมากเพียงใด ก็ย่อมถูกจัดอันดับได้สูง สืบค้นเจอง่ายจากผู้ใช้ เป็นการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการของคุณได้หลายเท่าตัว

on-page SEO ที่มีคุณภาพ ต้องจัดการส่วนใดบ้าง

ในการทำเว็บไซต์ให้มีผู้เข้าชมจำนวนมากและมียอดขายในระยะยาวที่สัมพันธ์กันจำเป็นต้องมีการพัฒนาโครงสร้างและองค์ประกอบต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ ดังนี้

1. ส่วนโครงสร้าง ต้องมี crawl ability คือ มีความสอดคล้องกับหลักการของ search engine ทำให้ถูกวิเคราะห์ง่ายและรวดเร็วด้วยระบบ algorithm

2. ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีความสดใหม่และดีกว่าเนื้อหาของแบรนด์อื่น ๆ ในสินค้าและบริการที่เป็นประเภทเดียวกัน หรือที่เรียกว่า age of page คือ ยิ่งน่าสนใจก็ยิ่งทำให้มีอายุในการนำเสนอบนหน้าต่างการสืบค้นยาวนานขึ้น

3. บทความมีความดึงดูดใจผู้อ่าน มีสาระความรู้ทั้งเชิงลึกและกว้างที่มาจากนักเขียนที่มีความรู้จริง

4. มีการใส่คีย์เวิร์ด SEO ในจุดต่าง ๆ เช่น URL address ส่วนของหัวเรื่อง บทนำ เนื้อหา และบทสรุปของบทความ เป็นต้น

ปัจจัยใดที่ส่งผลต่อ on-page SEO อีก

นอกจากส่วนของการนำเสนอข้อมูลส่วนผู้อื่นบทความหรือผู้ชมเว็บไซต์แล้ว ความนิยมของเว็บไซต์คุณยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสำคัญอื่น ๆ อีก ดังนี้

1. การเลือก hosting หรือพื้นที่การขายสินค้าและบริการบนโลกออนไลน์ หากคุณเลือกบริษัทที่ขาดทีมช่างและเจ้าหน้าที่เทคนิคที่ดูแลแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที และมีความล่าช้าของ server ย่อมส่งผลให้ผู้ใช้เว็บไซต์ไม่ประทับใจในการเกิด error บ่อย ๆ เมื่อจะ download ข้อมูลหรือรูปภาพ เป็นต้น

2. การเชื่อมโยง link ที่หมดอายุ การใช้ชื่อ URL address ที่เป็นภาษาไทย ทำให้เมื่อคีย์วรรณยุกต์ หรือสะกดตัวอักษรผิดจะทำให้ไม่สามารถหาเพจนั้น ๆ พบ ทำให้คุณเสียโอกาสในการนำเสนอข้อมูลที่ดีมีประโยชน์สู่ลูกค้า ทางแก้ไขที่ง่ายที่สุด คือ การรื้อและซ่อมแซม link โดยไวควบคู่กับการสร้าง content ใหม่ ๆ ที่ใช้ url address เป็นภาษาอังกฤษด้วย

จะทำ-on-page-SEO-อย่างไร

การทำ on-page SEO ให้มีคุณภาพจำเป็นต้องศึกษาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการทำเว็บไซต์ SEO ที่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถรุดหน้าและเพิ่มอำนาจในการแข่งขันกับแบรนด์อื่นในสินค้าหมวดเดียวกันได้ดีขึ้น

มีอะไรใหม่ที่ต้องคิดทำเพิ่มในเว็บไซต์ SEO ปี 2019

มีอะไรใหม่ที่ต้องคิดทำเพิ่มในเว็บไซต์ SEO ปี 2019

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา การทำ SEO เป็นงานที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับระบบการสืบค้นของ search engine ที่มีการตรวจตราอย่างเข้มข้นควบคู่กับการนำเสนอ content SEO ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค ทั้งความทันสมัยของเนื้อหาและเทคนิคการนำเสนอที่แปลกใหม่น่าสนใจ

การเกาะกระแสแฟชั่นเทรนด์ดังในสังคมและการติดตามการเคลื่อนไหวในวงการเทคโนโลยี เช่น ระบบการสืบค้นด้วยเสียง หรือ voice search เป็นสิ่งที่นักพัฒนาเว็บไซต์และผู้รับจ้างทำ SEO ต้องคำนึงถึง ซึ่งในปี 2019 จะมีสิ่งใดที่ต้องคิดในงาน SEO อีกบ้าง เรามาดูพร้อมกันเลย

การรับมือกับการตรวจสอบด้วย AI หรือ Artificial Intelligence

การที่เว็บไซต์เพื่อการสืบค้นชื่อดังทั่วโลกอย่างกูเกิ้ล ได้มีการนำระบบตรวจสอบหรือตรวจจับคุณภาพอย่าง RankBrain มาใช้ หรือในเว็บไซต์ Bing ก็ คือ Rank Net อันเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมของชาวจีนที่มีประชากรล้นหลาม ซึ่งสัมพันธ์กับอำนาจในการซื้อสูง ทำให้ต้องเน้นที่คุณภาพของเนื้อหา content SEO ในส่วนของสาระสำคัญ ลักษณะภาษาที่ใช้ และการสอดแทรกแนวคิดทางจิตวิทยามากยิ่งขึ้น

ซึ่งแม้ว่าระบบการตรวจสอบและอัลกอริทึ่มของเว็บไซต์ search engine เหล่านี้ จะเป็นความลับ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการมีระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุด (ทำให้ไร้กังวลเรื่องการผูกขาดผลการสืบค้นและการโจรกรรมข้อมูล) ผู้พัฒนาเว็บไซต์และนักทำ SEO ก็ยังต้องมุ่งหน้าสร้างสรรค์ content SEO ที่มีคุณภาพ และมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หรือ unique ต่อไป

การรับมือกับระบบสั่งการแบบรวดเร็วอัจฉริยะ อย่าง Voice search

การค้นหาด้วยเสียงเป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ไว้มาหลายปีว่าจะเป็นที่นิยม และมีการขยายแนวทางการใช้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงระยะหลังที่มีการผลิตสินค้าและ อุปกรณ์ด้านไอที่ในชีวิตประจำวันมารองรับคำสั่งเสียง หลายธุรกิจการค้าและบริการจึงเริ่มมีการใช้คำสั่งเสียงในการสืบค้นมากยิ่งขึ้น รวมถึงในเว็บไซต์สืบค้นชื่อดังอย่างกูเกิ้ลด้วย

ดังนั้น การทำเว็บไซต์ SEO ในอนาคต จึงต้องเพิ่ม function พิเศษในการตอบโจทย์คำสั่งเสียง เพื่อภาพลักษณ์ที่ทันสมัย มีความสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์คำสั่งเสียงของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นด้วย

การทำรูปภาพที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับการประกอบเว็บไซต์ SEO

ในช่วง ปี 2019 ลูกค้าต้องการเห็นความน่าเชื่อถือของ content ธุรกิจทั้งในส่วนของเนื้อหาและรูปภาพที่สัมพันธ์กับภาพลักษณ์ของธุรกิจที่แบรนด์ได้ทำโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ไว้ จึงมีแนวโน้มสูงที่นักพัฒนาเว็บไซต์และผู้ทำงานสาย SEO จะต้องสร้างผลงานที่ตอบโจทย์เทคโนโลยี Image recognition เพื่อการสืบค้นภาพประกอบเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า การทำเว็บไซต์ SEO ในปี 2019 ให้ประสบความสำเร็จยังมีอีกหลายประเด็นที่ท้าทายนักธุรกิจและผู้ทำงานสายไอที่ให้ต้องใส่ใจ กำหนดทิศทาง และพัฒนาฝีมือให้ตรงใจและตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม