ใช้เครื่องมือสำคัญทำอันดับเว็บด้วยตัวเอง

ใช้เครื่องมือสำคัญทำอันดับเว็บด้วยตัวเอง

การทำ SEO เบื้องต้น มี 2 ประเภท คือ on page ซึ่งจะเป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้ด้วยการทำในเพจหรือเว็บไซต์ของคุณและ Off Page เป็นการเชื่อมต่อไปยังเว็บต่าง ๆ ที่มีคนสนใจมาก โดยการนำเว็บของคุณไปฝากในเว็บนั้น เช่น พันทิป ก็จะมีการตอบกลับที่เรียกว่า Backlink ทำให้การทำ SEO ติดหน้าแรกได้เร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะทำ SEO ด้วยตัวเอง คุณต้องทราบขั้นตอน พร้อมการใช้เครื่องมือสำคัญเพื่อทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์คุณได้ง่าย ๆ

การวิเคราะห์ keyword – การทำ SEO เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะคุณต้องทราบว่าคำไหนที่คนค้นหาบ่อย ๆ และหาคำนี้มาเพื่ออะไรหรือทำอะไร โดยเครื่องมือที่สามารถค้นหาคำได้ง่าย คือ Ubersuggest ก็จะทำให้มีคีย์เวิร์ดเพื่อทำโครงสร้างเว็บไซต์ และช่วยให้ผู้คนเข้ามาพบสินค้าหรือบทความอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งจะแตกต่างกับคนที่จะใช้การลงโฆษณา Google Adwords ก็จะใช้เครื่องมือของ Google ที่เรียกว่า Google keyword planner

การวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี – เริ่มต้นด้วยชื่อร้านหรือชื่อสินค้า เรียกว่า Domain และสิ่งที่ส่งผลกับ Google คือ .com แต่ .net .co ส่งผลไม่มากนัก นอกจากนี้ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญในการทำ SEO คือ Hosting เพราะถ้าไม่ดีอาจจะทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าได้ จึงควรใช้ Hosting ที่มีคุณภาพ หากยังไม่มีงบให้ใช้ของไทยไปก่อน เมื่อมีทุนทรัพย์มากพอก็ให้ใช้ Hosting ต่างประเทศซึ่งมีความเร็วมากในการช่วยส่งเสริม SEO

บทความที่ดี – การเขียนชื่อเรื่อง (Title) และคำอธิบายย่อ (Description) ที่ดี จะทำให้สินค้าติดอันดับ ก็จะเพิ่มโอกาสขายสินค้าได้เลย หรือถ้าเป็นบทความที่ดึงคนเข้ามาก่อนแล้วจึงทำ marketing ทีหลังก็ได้ ซึ่งบทความที่ดีจะต้องดูความหนาแน่นของ keyword ประมาณ 2- 3 เปอร์เซ็นต์ในบทความก็เพียงพอแล้ว เช่น เนื้อหามีประมาณ 1000 คำ ไม่ควรจะมี keyword ซ้ำ ประมาณ 20 – 30 คำ

ใช้เครื่องมือช่วยติดตามผล – การติดตั้งเครื่องมือของ Google มีหลายตัว แต่หลัก ๆ ก็จะใช้อยู่ 2 ตัว คือ Google search console ซึ่งเป็นเครื่องมือดูแลเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการเช็คอันดับ Google เช็คอันดับ keyword เช็คความเร็วเว็บ ข้อความเร็วควรคำนึงถึงเนื้อหาหน้าเว็บด้วย ถ้าเป็นเว็บ ตารางบอลพรุ่งนี้ ความเร็วอาจไม่เท่าเว็บบล็อคข่าวเพราะมีการซ้อน code ตารางหลายชั้น เราจึงต้องเข้าใจคอนเซ็ปของเว็บเหนือความเร็วไวอีกแง่นึง กับ เครื่องมือ Google Analytics ที่ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ว่าผู้คนได้เข้ามาที่หน้าเพจใดบ้าง และใช้ระยะเวลาอยู่ในหน้าเพจนานเท่าใด เพราะฉะนั้น ต้องใช้เครื่องมือทั้ง 2 ตัวนี้ ร่วมกัน

เมื่อทำตามขั้นตอน และใช้เครื่องมือสำคัญในการทำ SEO ด้วยตัวเองแล้ว ก็ให้ตรวจสอบวัดผลอันดับด้วย Bounce Rate หมายความว่า วัดผลจากอัตราการเข้ามาที่เว็บไซต์ ถ้าคนเข้ามาแล้วออกเลย Google จะมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ ซึ่งจะส่งผลต่ออันดับ Google จึงต้องทำ Bounce Rate ให้น้อยลงเนื่องจากยิ่งน้อยยิ่งดี ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ วิธีแก้ไขหาก Bounce Rate สูงมาก คือ ให้สร้างลิงก์เพิ่มในหน้าเว็บไซต์นั้นเพื่อให้คนคลิ๊ก นอกจากนี้สามารถวัดผลได้จาก Time on page หรือวัดจากระยะเวลาที่ผู้ชมอยู่ในเว็บไซต์ เช่น ถ้าอยู่ประมาณ 4 นาที แสดงให้เห็นว่าบทความมีประโยชน์นั่นเอง

ต้องระวังอะไรบ้าง ถ้าจะเขียนบทความ SEO

ต้องระวังอะไรบ้าง ถ้าจะเขียนบทความ SEO

ต้องระวังอะไรบ้าง ถ้าจะเขียนบทความ SEO

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นการพัฒนาตามระบบ search engine optimization ที่ Google กำหนด ซึ่งถือได้ว่ากูเกิ้ลนั้นเป็นแหล่งหาข้อมูลที่สำคัญของคนส่วนใหญ่ทั่วโลก เมื่อคุณจะขายของออนไลน์ก็จำเป็นต้องมีบทความ SEO นำเสนอบนเว็บไซต์ธุรกิจของคุณเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างให้มีอัตราการมองเห็นมากยิ่งขึ้นจากกลุ่มผู้ใช้งาน

แต่การเขียนบทความ SEO ก็มีข้อที่ต้องระมัดระวังอยู่หลายด้าน ดังที่เราจะยกตัวอย่างต่อไปนี้

การคัดลอกข้อมูล

การนำข้อมูลมาใส่ในบทความใด ๆ ห้ามเป็นการคัดลอกข้อความโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ต้องเป็นการแปลหรือสรุปความโดยใช้สำนวนภาษาของตัวเอง มิฉะนั้นระบบ algorithm ของ Google จะตรวจจับ และทำให้มีการปรับให้ลดอัตราการมองเห็น หรือถูกแบนจากระบบของ Google ได้ ทางที่ดีจึงควรเขียนบทความจากความรู้ความเข้าใจของตัวเองขึ้นมาใหม่ ถ้าเป็นข่าว ก็ต้องลำดับไล่เรียงเนื้อหาให้เป็นภาษาของตัวเองด้วย เป็นต้น

การใส่รูปภาพประกอบ

รูปภาพสำหรับการทำ SEO ที่ดี ควรเป็นภาพถ่ายจากโทรศัพท์หรือกล้องของตัวเอง เพื่อป้องกันปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์จากรูปภาพของผู้อื่น และแม้จะมีเว็บไซต์ที่ให้บริการภาพฟรี คุณก็ต้องเช็คสิทธิ์ในการใช้งานของแต่ละภาพให้ดี และต้องยอมรับว่าแม้จะนำภาพที่ปลอดปัญหาลิขสิทธิ์มาใช้ ก็มีโอกาสที่คนอื่นจะนำภาพเหล่านั้นไปใช้ด้วยเช่นกัน จึงทำให้อันดับ SEO ของคุณไม่ดีเท่าที่ควร

ดังนั้น หากคุณมีฝีมือในการทำภาพกราฟิกหรือวาดรูปด้วยตัวเองผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ แล้ว เราสนับสนุนให้คุณทำภาพประกอบบทความที่มาจากจินตนาการของตนเองจะดีที่สุด

ความสั้นยาวของบทความ

บทความแต่ละประเภทจะมีความสั้นยาวที่เหมาะสมไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น บทความในเชิงวิชาการด้านสุขภาพ ความงาม ทันตกรรม ฯลฯ ควรมีเนื้อหาที่ยาวมากกว่า 1,000 คำขึ้นไป มีการใส่เหตุผลสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ หรืองานวิจัยสนับสนุนให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของบทความนั้น ๆ

แต่หากเป็นบทความแนวจิตวิทยา เพิ่มแรงบันดาลใจแนะนำอาชีพทั่วไป หรือฮาวทู ก็ควรจะมีความยาวอยู่ในช่วง 500 ถึง 1000 คํา พร้อมภาพประกอบเป็นระยะ จะทำให้บทความน่าสนใจและทำให้ผู้อ่านใช้เวลากับบทความของคุณมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะดีต่อการคิดประเมินอันดับ SEO

การอ้างอิง

หากมีการอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งอื่น ทั้งเว็บไซต์ภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ จะดีต่อความน่าเชื่อถือของบทความนั้น ๆ และเป็นการสร้างลิงก์เชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์ด้วย จะทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์คุณดีขึ้นได้อย่างมาก

จะเห็นได้ว่า การผลิตบทความ SEO แต่ละชิ้น มีหลักการที่คุณจำเป็นต้องทราบเพื่อการระวังหลายข้อ หวังว่าข้อมูลที่เราแนะนำไปจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ทั้งนี้ยังต้องฝึกฝนเทคนิคในการทำบทความที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องด้วย จึงจะทำให้เว็บไซต์ออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จได้ดีในระยะยาว

เทคนิค SEO และการสร้างรายได้ด้วย facebook marketplace 2020 สำหรับมือใหม่!

เทคนิค SEO และการสร้างรายได้ด้วย facebook marketplace 2020

ปัจจุบัน Facebook ปิดกั้นการมองเห็น Facebook User และ Facebook page ให้น้อยลงมากเพื่อให้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่สามารถใช้งาน Facebook ได้รับข่าวสารที่มีประโยชน์มากที่สุด แต่ Facebook ได้จัดสรรพื้นที่ในส่วนของ Marketplace เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองได้ โดยวิธีการสร้าง Marketplace สามารถทำได้ง่ายมาก ๆ เพียงกดปุ่มร้านค้าของเฟซบุ๊ก จากนั้นทำการถ่ายภาพให้ออกมาสวยงามและเขียนชื่อสินค้าพร้อมกำหนดราคาก็สามารถโพสต์ขายสินค้าสู่สังคมออนไลน์อันดับ 1 ได้

วิธีการโพสต์ขายสินค้าที่ดูเหมือนจะขายได้ง่าย ๆ กลับต้องใช้เทคนิค SEO เพียงเล็กน้อยเข้ามาปรับใช้ เนื่องจากในปัจจุบัน AI ของ Facebook มีความฉลาดจึงทำให้ Marketplace ของ Facebook จึงมักจะแสดงผลที่ผู้ใช้งานชื่นชอบเป็นหลัก ซึ่งการนำหลัก SEO มาใช้ จะทำให้สินค้าถูกแสดงสู่สายตาของผู้ใช้งาน Facebook เพิ่มมากขึ้น โดยวิธีการทำ SEO บน facebook marketplace 2020 สามารถทำได้ดังนี้

วิธีการทำ SEO บน facebook marketplace 2020

ถ่ายภาพสินค้าให้มีความน่าสนใจและดึงดูดสายตามากที่สุด การขายของออนไลน์ควรให้ความสำคัญกับภาพสินค้าหรือบริการเหนือสิ่งอื่นใด เพราะหากทำให้ Marketplace ให้ติด SEO แต่หากภาพไม่สวย ลูกค้าก็อาจเปลี่ยนใจไปร้านอื่นได้เช่นกัน

ตั้งชื่อสินค้าโดยนำ Keyword SEO มาใช้ ชื่อสินค้าเปรียบเสมือนคำอธิบายสินค้าสั้น ๆ การตั้งชื่อที่บอกรายละเอียดหลักที่ลูกค้าต้องการทราบ ซึ่งหากนำ Keyword ที่มีผู้ค้นหาเยอะมาใช้ ไม่เพียงแต่ทำให้สินค้าแสดงในอันดับที่ดีกว่า แต่ยังเป็นสิ่งที่ช่วยชักจูงให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ

รายละเอียดสินค้าครบถ้วน ควรอธิบายในส่วนของรายละเอียดสินค้าให้ละเอียดมากที่สุด โดยนำ Keyword หลักที่ใช้ในการตั้งชื่อมาแทรกเอาไว้ด้วย เพื่อให้สินค้าติดอันดับได้ง่ายขึ้น รวมถึงการอธิบายรายละเอียดให้ชัดเจนและน่าสนใจ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ขายและตัวสินค้ามากกว่า

จัดโปรโมชั่นน่าสนใจ มีใครบ้างที่จะไม่ชอบโปรโมชั่นดี ๆ การขายสินค้าเป็นแพ็กเกจหรือการลดราคาสินค้าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งเทคนิคในการสร้างโปรโมชั่นสินค้าสามารถทำได้ทั้งลดราคา สิทธิ์แลกซื้อ ของแถม และของสมนาคุณต่าง ๆ เป็นต้น

ตั้งราคาสินค้าที่ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ามากที่สุด การตั้งราคาสินค้าให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตั้งราคาให้ถูกมากที่สุด แต่หมายความว่าลูกค้าต้องรู้สึกว่าได้รับการบริการที่ดี มีความใส่ใจ และการสร้างคุณค่าให้กับสินค้า ซึ่งจะทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ามากกว่า แม้ว่าของนั้นจะเหมือนกับของร้านอื่นในท้องตลาดและมีราคาที่แพงกว่าก็ตาม

ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.2020 เป็นต้นมา ประเทศไทยประสบกับปัญหาหลายด้าน ส่งผลให้เศรษฐกิจฝืดเคือง การขายของออนไลน์และทำ SEO บน facebook marketplace 2020 เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ที่สนใจได้

วิธีการทำ SEO บน facebook marketplace 2020

ดัน local SEO ให้ติดหน้าแรกด้วย 5 วิธีง่าย ๆ

ดัน local SEO ให้ติดหน้าแรกด้วย 5 วิธีง่าย ๆ

1 ใน การทำ SEO ที่จะช่วยให้คนคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ของคุณให้เยอะขึ้น นั่นก็คือการทำ local SEO โดยเป็นการ pin หมุดตำแหน่งที่ตั้งธุรกิจของคุณให้ขึ้นไปอยู่บนหน้าแรกของ search engine ด้วยวิธีการไม่กี่ขั้นตอนแต่ได้ผล และทำได้ในระยะเวลาสั้น ๆ อยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร มาดูกันได้เลย

ขั้นตอนการดัน local SEO ให้อยู่หน้าแรก

สร้าง location ด้วย Google my business – สำหรับการทำ local SEO นั้นเราจะเป็นการเน้นผลลัพธ์การค้นหาด้วยการใช้ตำแหน่งที่ตั้งธุรกิจเป็นตัวช่วยในการขึ้นอันดับ โดยเครื่องมือของ Google ที่มีให้คุณใช้นั่นก็คือ Google my business ซึ่งเป็นเครื่องมือในการ pin ตำแหน่งที่ตั้งธุรกิจของคุณ รวมถึงเป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการรีวิว คำอธิบายธุรกิจ ข้อมูลในการติดต่อและเวลาทำการได้ในหน้าเดียว แบบไม่ต้องใช้เวลานาน

เลือกหมวดธุรกิจให้ถูกต้อง – การเลือกหมวดธุรกิจดูเหมือนไม่ได้มีความสำคัญอะไรมาก แต่ในทางตรงกันข้ามนั้นจะทำให้คนที่ใช้คีย์เวิร์ดค้นหาที่เกี่ยวข้องกับหมวดหมู่ธุรกิจของคุณมีโอกาสค้นหาคุณเจอได้ง่ายขึ้น เพราะ Google จะแยกประเภทของธุรกิจตามหมวดหมู่ หากธุรกิจของคุณถูกจัดไว้ผิดหมวดหมู่ก็จะทำให้คนสับสนและไม่อยากคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ได้เหมือนกัน เพราะจะดูเหมือนเป็น spam นั่นเอง

ใส่ description ของธุรกิจให้ครบพร้อมแทรกคีย์เวิร์ดตามความเหมาะสม – คำอธิบายธุรกิจนั้นถือว่ามีบทบาทกับการทำ local SEO อยู่ไม่น้อย เพราะจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนค้นหาคุณเจอได้ง่ายและคุณยังสามารถใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องลงไปในคำอธิบายเหล่านั้นได้ ยิ่งเป็นคำอธิบายที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่คนใช้ค้นหาเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสติดอันดับได้

ใส่รีวิวธุรกิจให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ – รีวิวนี้จะเป็นรีวิวอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ยิ่งรีวิวจากคนที่มีบัญชี Gmail เยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งจะทำให้ติดอันดับ local SEO ได้มากขึ้น สำหับจำนวนรีวิวที่ควรมีอย่างน้อยคือ 10 รีวิวขึ้นไป โดยให้มีภาพประกอบพร้อมคำอธิบายสั้น ๆ ไม่ต้องยาวมาก และสามารถเพิ่มเรทติ้งเข้าไปได้อีกด้วย

ติดตั้ง Google map บนเว็บไซต์ของคุณเอง – การเชื่อม Google map เข้าไปในเว็บไซต์นั้น สามารถช่วยให้คนเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ของคุณผ่าน Google Chrome ได้ง่ายขึ้น เมื่อไหร่ที่มีคนค้นหาตำแหน่งของคุณเจอ ก็มีโอกาสที่จะคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่หน้าแรกของ Google ก็ได้

การทำ local SEO ไม่ได้ทำให้คนค้นหาหน้าเว็บไซต์ของคุณเจอ แต่เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการไต่ขึ้นอันดับและเป็นการทำให้คนค้นหาคุณเจอทั้งในหน้าค้นหาแบบธรรมดา แล้วยังสามารถค้นหาเจอได้บน Google map อีกด้วย

ขั้นตอนการดันธุรกิจให้อยู่หน้าแรกของ search engine

ใครที่ต้องทำ SEO บ้าง และจำเป็นอย่างไร

ใครที่ต้องทำ SEO บ้าง และจำเป็นอย่างไร

ยุคสมัยที่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เพียงมือถือเครื่องเดียวต่อกับอินเทอร์เน็ตก็สามารถหาข้อมูลได้ทั่วโลกแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่วงการธุรกิจหรือใครก็ตามที่ต้องการจะนำเสนอ Content ที่น่าสนใจให้แพร่หลาย หันมาทำ SEO กันมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ต้องจ่ายค่าโฆษณาแพง ๆ ลงโทรทัศน์เพื่อให้สินค้าชิ้นหนึ่งเกิดเป็นกระแสนิยม แต่ในสมัยนี้การทำ SEO จะช่วยประหยัดงบประมาณไปได้มากและตรงกับกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย แต่ถึงตรงนี้ก็ยังเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักคำว่า SEO คืออะไร เราลองมาศึกษาไปพร้อม ๆ กัน

SEO คืออะไร

SEO (Search Engine Optimization) คือการเพิ่มประสิทธิภาพในเครื่องมือการค้นหา โดยใช้ Keyword เป็นตัวช่วยให้กลุ่มเป้าหมายให้หาเว็บไซต์ของเราเจอได้ง่าย เราสามารถนำเสนอบทความหรือ Content ลงไปใน Search Engine อันดับ 1 อย่าง Google ยิ่งบทความที่เรานำเสนอตรงกับ Keyword ที่ใช้ในการค้นหามากเท่าไหร่ เว็บไซต์ของเราก็ยิ่งถูกดันขึ้นมาให้เกิดการค้นเจอได้ง่ายยิ่งขึ้น ผู้คนก็จะเห็นในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอมากขึ้นด้วย

ข้อดีของการทำ SEO กับการทำธุรกิจ

หากทำ SEO ได้อย่างถูกวิธี และเนื้อหามีประโยชน์ต่อผู้อ่าน บทความที่เราต้องการนำเสนอจะถูกดันขึ้นมาให้อยู่ในหน้าแรก ๆ ของ Search Engine เป็นการโปรโมทเว็บไซต์ของเราให้มีคนรู้จักมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ก็จะถูกค้นหาเจอได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย

การทำ SEO จำเป็นต้องมี Keyword เป็นหลักในการทำ โดยลูกค้าที่สนใจในสินค้าหรือบริการของเราก็จะ Search โดยการพิมพ์คำ Keyword ลงไปในช่องค้นหา ทำให้เราสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง อย่าลืมว่าเราไม่ได้วิ่งหาลูกค้า แต่ลูกค้าวิ่งมาหาเราเอง เหมือนเป็นการสกรีนลูกค้าในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งสามารถเก็บพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อพัฒนาการทำ SEO ต่อไปในอนาคตได้ด้วย

SEO คืออะไร

การทำ SEO จะช่วยขยายฐานลูกค้าได้ดี ยิ่งเป็น Content ที่กำลังเป็น Viral จะยิ่งสร้างฐานผู้ติดตามได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การทำ SEO ยังช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าให้คงอยู่อีกด้วย เพราะ Content ที่เราทำจะต้องมีคุณภาพและน่าสนใจ เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มลูกค้า ทำให้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่จะคอยติดตามเว็บไซต์ของเราอย่างแน่นอน

ถ้าถามว่าการทำ SEO เหมาะกับใคร ก็ขอตอบแบบกว้าง ๆ ไว้ก่อนว่า ผู้ที่ทำธุรกิจหรือต้องการจะนำเสนอสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเอกชนหรือมหาชนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ที่ต้องตอบแบบกว้าง ๆ ก็เพราะว่าการทำ SEO ทำได้ขนาดนั้นจริง ๆ ด้วยการใช้งบประมาณต่ำสุด แต่กลับได้ประสิทธิภาพสูงสุด ถือเป็นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่คุ้มค่ามากที่สุดรูปแบบหนึ่งในยุคสมัยนี้แล้ว

เทคนิคขยายฐานลูกค้าด้วย SEO

พื้นฐานการทำเว็บให้ติดอันดับ

เว็บไซต์เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับขายสินค้าและบริการ เนื่องจากเว็บไซต์เป็นหน้าร้านที่คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ ทำให้บริษัท ห้างร้าน หรือนักขายของออนไลน์ จึงควรศึกษาเทคนิคที่จะทำให้เว็บไซต์ขายสินค้าและบริการของตนเองเป็นที่รู้จัก ซึ่ง SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสในการขยายฐานลูกค้าบนเว็บไซต์ที่ดีที่สุด เพราะการทำ SEO ที่ดีจะทำให้เว็บไซต์แสดงขึ้นมาในหน้าแรกของ Search Engine เมื่อมีผู้คนหา โดย SEO พื้นฐานในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine เพื่อขยายฐานลูกค้าสามารถทำได้ ดังนี้

พื้นฐานการทำเว็บให้ติดอันดับ

เลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการมาสัก 2 – 3 Keyword โดยนำไปเช็คใน Keyword Research เพื่อให้ได้คีย์เวิร์ดที่ดีที่สุด มีการแข่งขันต่ำแต่มีจำนวนคนค้นหาสูง

ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ โดยเขียนออกมาเป็นรายละเอียดให้ชัดเจนเพื่อให้ง่ายต่อการทำ Content เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันย่อมมีความสนใจที่แตกต่างกันด้วย เช่น หากเป็นกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น การเขียนคอนเทนต์ควรมีความสนุกสนาน น่าสนใจ อ่านง่ายและเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน แต่สำหรับกลุ่มเป้าหมายวัยทำงานจะชอบอ่านบทความที่มีเนื้อหายาก ๆ และเกี่ยวข้องกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ เป็นต้น

เขียน บทความ SEO โดยใช้ Keyword ที่เลือกมาโดยเขียนให้เข้ากับความชอบของกลุ่มเป้าหมายโดยแทรกสาระความรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการด้วย ซึ่งความยาวของ Content ควรมีปริมาณ 300 – 500 ตัวอักษรขึ้นไป และแทรก Keyword เอาไว้คำละ 2 – 3 ครั้ง โดยอัปโหลดเป็นประจำวันละ 1 – 2 บทความ จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search engine ได้ง่ายขึ้น

การทำวิดีโอคอนเทนต์หรือ Voice Content เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายที่ไม่มีเวลาอ่านเปิดดูได้ง่ายขึ้น ซึ่งการทำวิดีโอคอนเทนต์ควรนำเทคนิคเร้าอารมณ์ความรู้สึกเพื่อให้เกิดการแชร์ เมื่อมีผู้แชร์มากขึ้นก็ทำให้เป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้นด้วยเทคนิคขยายฐานลูกค้าด้วย SEO

ซื้อแอดโฆษณาโปรโมทบทความที่น่าสนใจเพื่อขยายฐานลูกค้าที่อาจไม่ได้ค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการให้รู้จักกับเว็บไซต์ โดยเทคนิคสำคัญคือต้องเป็นบทความที่ดึงดูดให้อ่านมากที่สุด

ใช้เทคนิคในด้านที่เกี่ยวกับการตลาด เช่น การแจกสินค้าหรือข้อมูลที่น่าสนใจ โดยแลกกับช่องทางการติดต่อ วิธีนี้จะทำให้เราสามารถโปรโมทสินค้าหรือบริการอื่นที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้าที่ยอมให้ช่องทางการติดต่อได้ในอนาคต

อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถแบ่งปันข้อมูลข่าวสารระหว่างกันได้ ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตในการขายสินค้าและบริการได้รับความนิยมมาก เพราะไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ เพียงแต่มีอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เมื่อผนวกกับการทำ SEO ให้ได้ผล ก็จะสามารถขายสินค้าหรือบริการให้กับคนทั่วโลกได้

การทำ SEO บน Instagram สำหรับร้านขายของ

การทำ SEO บน Instagram สำหรับร้านขายของ

อินสตราแกรมเป็นแอปพลิเคชันที่มีไว้เพื่อให้แชร์รูปภาพหรือวิดีโอสวย ๆ ทำให้ร้านค้าออนไลน์หลายร้านใช้ช่องทางนี้ในการทำภาพสินค้าสวย ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย หลายร้านก็ประสบความสำเร็จแต่หลายร้านกลับแทบไม่มีลูกค้าที่เข้ามา Follow แม้ว่าจะเป็นสินค้าประเภทเดียวกันก็ตาม ส่วนหนึ่งของจำนวน Follower ที่แตกต่างกันเกิดจากเทคนิคการถ่ายภาพและการนำเสนอสินค้า แต่อีกส่วนคือการทำ SEO บน Instagram

วิธีการทำ SEO บน Instagram สามารถทำได้ ดังนี้

การสร้างโปรไฟล์ของร้านค้า ควรมีความน่าสนใจและต้องมีการตั้งค่าให้ทุกคนสามารถเข้าชมได้ หลายร้านที่เคยเจอในอินสตราแกรมมักตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอาไว้ ทำให้แม้ร้านจะถูกหาเจอได้ง่าย แต่กลับมีจำนวน Follower น้อย เพราะลูกค้าบางคนไม่อยากเสียเวลาไปกดติดตามหากไม่ได้เห็นสินค้าที่ขายในร้านก่อน

การตั้งชื่อร้านค้าหรือ User ควรใช้ชื่อที่นำ Keyword มาใช้งาน โดยวิธีการหา Keyword ที่ดีต่อร้านควรใช้ Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาบ่อย ซึ่งสามารถเช็คจำนวนผู้ค้นหาและดูอัตราการแข่งขันของ Keyword ที่ต้องการใช้ได้จาก Keyword Research ต่าง ๆ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย

คำอธิบายใต้ชื่อ User ของร้านควรใส่คำอธิบายสั้น ๆ โดยมี Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายแทรกเอาไว้และควรเขียนช่องทางการติดต่อเพิ่มเติม เผื่อในกรณีที่ลูกค้าสนใจสินค้า จะได้สอบถามไปยังช่องทางต่าง ๆ ที่ให้เอาไว้ได้ ซึ่งร้านไหนที่มีเว็บไซต์ก็ควรใส่ลิงก์เว็บไซต์เอาไว้ด้วย เพราะจะทำให้ดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

การใส่ Hashtag หรือ สัญลักษณ์ # เป็นสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาใช้ใน IG แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าการใส่ Hashtag ไม่ได้ทำให้ลูกค้าค้นหาสินค้าอื่น ๆ ภายในร้านเจอ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้คำที่มีความหมายกว้าง ๆ ไม่ได้เจาะจงลงไปเกี่ยวกับร้านของตัวเอง ทำให้เมื่อลูกค้าคลิกไปยังแฮชแท็กนั้น ๆ ก็จะกลายเป็นช่องทางเข้าสู่ร้านอื่น ๆ แทน

การเขียนคำบรรยายสินค้าเป็นช่องทางที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงลักษณะของสินค้า วิธีการใช้งานและคุณค่าของสินค้าชิ้นนั้น ๆ โดยการเขียนคำอธิบายสินค้าที่ดีควรแทรก Keyword ที่ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเอาไว้ แน่นอนว่าการเขียนคำอธิบายสินค้าที่จะช่วยให้มี Follower กลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นได้นั้น ต้องทำอย่างสม่ำเสมอคล้ายกับการเขียน บทความ SEO ลงเว็บไซต์นั่นเอง

คำอธิบายภาพหรือ Alt image มีความสำคัญบน Instagram ไม่ต่างจากการใส่ Alt image บนเว็บไซต์ ซึ่งเราสามารถใส่ Alt image ได้ช่วงที่เรากำลังจะโพสต์รูปภาพใหม่ลงไป โดยกดที่คำว่า “การตั้งค่าขั้นสูง” ในบรรทัดด่านล่างสุด ซึ่งคำที่ควรใส่ลงไปควรเป็น Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย

การขายของบนอินสตราแกรมไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องรู้จักเทคนิคที่จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง 6 วิธีการข้างต้น จะช่วยให้ร้านค้าใน IG มีจำนวน Follower ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น

วิธีการทำ SEO บน Instagram สามารถทำได้

บทความ SEO ที่มีคุณภาพเป็นอย่างไร

การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพจึงต้องศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ

บทความ SEO ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำธุรกิจออนไลน์ยุคใหม่ เนื่องจากเป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างคนอ่านและเจ้าของธุรกิจ หากบทความมีความน่าสนใจจะนำไปสู่การขายสินค้าและบริการต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ห้องพัก รีสอร์ท ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ ได้ทั้งหมด

การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพจึงต้องศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ต่อไปนี้

ต้องไม่มีการคัดลอกงานซ้ำ

การทำงานเขียนด้าน SEO ตามระบบของ search engine optimization ใน Google ต้องไม่มีการคัดลอกทั้งหมด บางส่วนหรือสลับบรรทัด จากเว็บไซต์อื่นทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ระบบ algorithm ของ Google นั้นตรวจสอบพบได้ ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และส่งผลต่ออันดับ SEO ของเว็บไซต์ที่แย่ลงด้วย

ทั้งนี้ มีเทคนิคที่เรียกว่า การตรวจสอบ plagiarism ที่สามารถตรวจสอบได้ว่า มีการทำซ้ำบทความ โดยจะมีค่าเปอร์เซ็นต์ของ unique ไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์

หัวเรื่องและเนื้อหาต้องใส่ keyword ที่เหมาะสม

สำหรับนักเขียนบทความ SEO มือใหม่ ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานของ Google search Console ซึ่งนักผลิตบทความ SEO ทั่วโลกยอมรับว่า เป็นตัวช่วยที่ดีในการเลือก keyword ที่เหมาะสม สำหรับหัวเรื่องและเนื้อหาในบทความ SEO ในปัจจุบันมีเทรนด์ของการใช้ keyword ที่มีความยาวและจำเพาะเจาะจงมากขึ้น เพื่อให้บทความสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เฉพาะกว่าเดิม

เช่น ใช้คำว่า คีย์บอร์ดสำหรับนักเล่นเกมส์ E-sport แทนคำว่าคีย์บอร์ด หรือ ใช้คำว่า Huawei โทรศัพท์มือถือใช้ง่ายสำหรับผู้สูงอายุ แทนที่จะใช้คำว่า โทรศัพท์มือถือ ซึ่งเมื่อได้ keyword ที่เหมาะสมแล้วนำไปผลิตบทความ ก็จะน่าสนใจและมีประสิทธิภาพในการสื่อสารถึงกลุ่มผู้อ่านเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การขายสินค้าและบริการได้ จึงเท่ากับเป็นการโฆษณาแบบไม่ต้องเสียเงินผ่านบทความ SEO นั้น ๆ

การใช้ภาพประกอบบทความ SEO

ภาพประกอบในบทความ SEO เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะถ้าบทความมีความยาวมากกว่า 200 หรือ 300 คำ ควรจะมีการใส่ภาพที่เข้ากับเนื้อหาตอนนั้น ๆ แทรกอยู่เป็นระยะ เพื่อกระตุ้นความสนใจคนอ่าน และทำให้ผู้อ่านไม่รู้สึกเบื่อ

เทคนิคสำคัญของการใช้ภาพประกอบที่เหมาะสม อาจเลือกเป็นภาพที่ถ่ายด้วยตัวของผู้เขียนบทความเอง หรือจะเป็นภาพที่ดาวน์โหลดฟรีจากเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ใช้ได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ ก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า หากเป็นภาพที่ผลิตด้วยตัวเอง มีความสดใหม่ ไม่เคยใช้ที่ใด จะทำให้ส่งเสริม อันดับ SEO ของเว็บไซต์ที่นำบทความไปใช้ให้สูงขึ้นได้มากกว่าภาพที่มีการกันใช้บ่อย ๆ

จะเห็นได้ว่า การทำบทความ SEO ที่มีคุณภาพนั้น ไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว แต่มีหลักการที่นักเขียนต้องเรียนรู้เพื่อการทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้บรรลุวัตถุประสงค์คือ การสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และทำให้มีการสั่งซื้อสินค้าในระบบออนไลน์ตามมานั่นเอง

บทความ SEO ที่มีคุณภาพเป็นอย่างไร

ทำไมเว็บไซต์ SEO ต้องศึกษาการทำ Google Ads ด้วย

ทำไมเว็บไซต์ SEO ต้องศึกษาการทำ Google Ads ด้วย

การทำเว็บไซต์ SEO ตามระบบ search engine optimization ที่ Google กำหนด อันเป็นหลักเกณฑ์ในการเปรียบเทียบคุณภาพของแต่ละเว็บไซต์ เพื่อให้มีการจัดเรียงก่อนหลังในการปรากฏเมื่อมีการสืบค้นด้วย keyword ตามคะแนนที่ได้จากการประมวลด้วยระบบ algorithm เป็นสิ่งที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ธุรกิจออนไลน์เป็นที่รู้จักได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักสินค้าหรือบริการที่ต้องการประชาสัมพันธ์

แต่ก็มีข้อจำกัดที่ SEO เป็นเทคนิคที่ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูลในเว็บไซต์ มีความสม่ำเสมอ และต้องมีความรู้จริงในการทำ เพื่อให้มีอำนาจในการแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นที่มีการทำ SEO มาต่อเนื่อง

การทำ Google Ads หรือการซื้อพื้นที่โฆษณาใน Google จึงเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการเพิ่มยอดขายบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ในแค่ชั่วข้ามคืน

ทำความรู้จักกับ SEM

Google Ads เป็นเทคนิคการตลาดที่มีอีกชื่อว่า SEM หรือ search engine marketing ที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบัน ที่ต่างต้องแย่งชิงจังหวะการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในช่วงภาวะเศรษฐกิจผันผวนทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญที่คนนิยมจับจ่ายซื้อของ เช่น ช่วงปลายเดือน วันปีใหม่ คริสต์มาส วันตรุษจีน วันสงกรานต์ วันวาเลนไทน์ ฯลฯ หากจะใช้วิธีการตลาดแบบ SEO เพียงอย่างเดียว ก็อาจจะต้องพลาดโอกาสในการจำหน่ายสินค้าไปให้แก่คู่แข่ง ซึ่งก็เท่ากับอาจพลาดลูกค้าประจำในอนาคตไปด้วย

เจ้าของธุรกิจออนไลน์สามารถเรียนรู้การทำ Google Ads ด้วยตัวเองหรือจ้างบริษัทที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงในการทำก็ได้ โดยเลือกคำสำคัญหรือ keyword ที่จะใช้เพื่อการโฆษณาแข่งขันไว้ และต้องมีงบประมาณค่าใช้จ่ายเตรียมไว้ใน 2 ส่วน คือ

การประมูลพื้นที่โฆษณา หากเป็น keyword ที่มีการมีความนิยมสูงในการสืบค้น มีบริษัทเว็บไซต์ออนไลน์อื่น ๆ ที่มีเงินทุนสูงมาร่วมประมูลแข่งขัน ก็อาจจะทำให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สูงขึ้นมาก

ค่าใช้จ่ายเมื่อมีการคลิก เมื่อได้พื้นที่เพื่อโฆษณาแล้ว จะต้องเตรียมรายจ่ายตามจำนวนครั้งของการคลิกเข้ามาชม หรือที่เรียกว่าเป็นการคิดในอัตรา pay per click ที่เจ้าของธุรกิจสามารถกำหนดงบประมาณโดยรวม ได้ในแต่ละวันหรือรายเดือน โดยเมื่อมีการคลิกจนเต็มวงเงินที่ตั้งไว้ ก็จะทำให้หยุดการโฆษณาไปในทันที

การทำ Google Ads เป็นวิธีที่สามารถลงโฆษณาได้มากกว่าข้อความ เช่น ผลิตภาพนิ่งตัดต่อที่ดึงดูดใจ ทำภาพเคลื่อนไหวที่กระตุ้นความสนใจของผู้คน ฯลฯ ในส่วนนี้ต้องใช้ผู้ผลิตที่มีฝีมือเพื่อทำผลงานที่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายและจูงใจให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายซื้อสินค้าให้มากที่สุด

จะเห็นได้ว่า การทำ Google Ads สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจออนไลน์ได้ทุกประเภท เราหวังว่าบทความนี้จะทำให้นักธุรกิจออนไลน์สนใจการทำ Google Ads ควบคู่กับการทำ SEO มากขึ้นต่อไป

ทำความรู้จักกับ SEM

คำศัพท์ที่คนทำเว็บไซต์ SEO ปี 2020 ควรรู้จัก

คำศัพท์ที่คนทำเว็บไซต์ SEO ปี 2019 ควรรู้จัก

การทำเว็บไซต์ SEO ตามเกณฑ์ที่ Google กำหนด เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ระบบ algorithm ของ Google มาเก็บข้อมูลด้านต่าง ๆ ไปประมวลผล เปรียบเทียบระหว่างเว็บไซต์ แล้วจัดอันดับเว็บไซต์ที่ดีให้อยู่ด้านบน ๆ ให้เข้าถึงผู้ใช้งาน Google ได้มากขึ้น

ซึ่งในปี 2020 มีคนรุ่นใหม่สนใจทำเว็บไซต์ SEO จำนวนมากขึ้น แต่อาจยังไม่เข้าใจคำศัพท์ต่าง ๆ ที่จำเป็น เราจึงยกตัวอย่างคำที่น่าสนใจไว้ที่นี่ เพื่อให้ผู้ทำเว็บไซต์ไปศึกษาต่อ

1. SEO

SEO ย่อมาจาก search engine optimization เป็นเทคนิคเพิ่มอันดับในการสืบค้นให้อยู่ด้านบน ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ Google แม้แต่บาทเดียว เพียงอาศัยความสม่ำเสมอต่อเนื่องในการทำ เช่น การพัฒนาให้ใช้งานง่ายในมือถือ การเลือก keyword ที่ดีในแต่ละบทความ การทำลิงก์เชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นต้น การทำต่อเนื่อง 3-6 เดือนขึ้นไป จะทำให้ อันดับ SEO ดีขึ้น เพิ่มความเชื่อมั่นจากผู้อ่าน ขยายฐานลูกค้าและส่งเสริมยอดขายได้ด้วย

2. Keywords

Keywords หรือคำสำคัญใช้ในคิดหัวข้อที่ดึงดูด ตั้งชื่อ URL เขียนบทย่อ และเขียนบทความในเว็บไซต์ที่สามารถสื่อสารถึงผู้อ่านได้ดี ควรศึกษาการเลือกใช้ keyword จาก Google keyword planner ที่จะมีการเก็บสถิติ keyword ที่เว็บไซต์ชั้นนำได้รับการคลิกบ่อย ๆ และยังมีตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบประสิทธิภาพของแต่ละคำด้วย

3. SERPs

SERPs ย่อมาจาก search engine result pages หมายถึง หน้าจอการแสดงผลของ Google หลังจากที่เราพิมพ์คำสำคัญใด ๆ ลงไป กดค้นหาก็จะปรากฏเว็บไซต์ต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งเว็บไซต์ SEOที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของ SERPs จะมีคุณภาพสูง ได้รับยอดสั่งซื้อมากกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ โดยไม่ต้องมีการโฆษณา หรืออาจเรียกว่า organic SERPs ก็ได้ ซึ่งแตกต่างจากเว็บไซต์ที่มาจากการเช่าพื้นที่โฆษณา หรือ paid SERPs ที่มีค่าใช้จ่ายเป็นรายคลิก หรือ pay per click

4. URL address

URL เป็นรหัสที่อยู่ของเว็บไซต์ ซึ่งแต่ละแห่งจะไม่ซ้ำกัน ผู้ทำเว็บไซต์ควรนำ keyword ที่สำคัญใส่ลงในชื่อของแต่ละหน้าเพจ เพื่อเสริมอันดับ SEO ให้ดีขึ้น ที่สำคัญควรตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อไม่ให้มีปัญหาในตัวสะกดและวรรณยุกต์ ตลอดจนป้องกันการเกิดความผิดพลาดในการเชื่อมโยง

5. Meta Description

Meta Description เป็นส่วนของบทย่อที่แสดงใต้ title ในหน้าแสดงผล เป็นการย่อเรื่องจากภายในหน้าเพจหนึ่ง ๆ ที่อาจจะมีความยาวถึง 2000 คำ ย่อเหลือ 100 คำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดให้ผู้ที่เห็นชื่อและอ่านบทย่อ สนใจเข้ามาคลิกอ่านรายละเอียดภายในและนำสู่การซื้อสินค้าต่อไป

จะเห็นได้ว่า คำศัพท์ที่ยกตัวอย่างมา เป็นสิ่งที่คนทำเว็บไซต์รุ่นใหม่ต้องศึกษารายละเอียดในเชิงลึกและฝึกฝนจากประสบการณ์ จะทำให้เพิ่มคุณภาพงาน SEO ให้ธุรกิจออนไลน์เติบโตได้ดียิ่งขึ้น

คนรุ่นใหม่สนใจทำเว็บไซต์ SEO