5 เทคนิคลับ SEO 2021 ระดับ Advance

5 เทคนิคลับ SEO 2021 ระดับ Advance

จากหลายปีที่ผ่านจะเห็นว่าการแข่งขันทำอันดับเว็บไซต์บน Search Engine เช่น Google, Bing, Yahoo หรือ Wiki search ฯลฯ รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการทำเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกเป็นช่องทางที่สามารถสร้างรายได้และเป็นช่องทางในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การทำ Search Engine Optimization หรือ SEO แบบพื้นฐานไม่พออีกต่อไป โดย 5 เทคนิคลับทำ SEO ระดับ Advance 2021 มีดังนี้

1.เพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Backlink ด้วย Infographic
การทำ Infographic เป็นการทำภาพที่ช่วยสรุปเนื้อหาบนหน้าเว็บเพจทำให้ผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น โดยการทำ Infographic จะเป็นภาพแผนภูมิ สัญลักษณ์ หรือภาพวาดก็ได้เพียงแต่ต้องให้ผู้ที่อ่านเข้าใจได้ในทันที ซึ่ง Canva.com เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้าง Infographic ใช้งานง่ายและได้รับการแนะนำจากมืออาชีพด้านการทำเว็บไซต์ เพราะมีแม่แบบ Infographic ให้เลือกมาปรับใช้มากมายและมีรูปภาพฟรีให้ใช้งาน ทั้งนี้เมื่อทำภาพ Infographic เรียบร้อยแล้ว ก่อนการนำไปโพสต์ลงบนเว็บไซต์ควรตั้งชื่อไฟล์ภาพและแทรกคำอธิบายภาพด้วย Keyword (คำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหา) ทุกครั้ง

2.ปรับเว็บไซต์ให้รองรับ SEO ด้วย AI SEO Tools
สำหรับมืออาชีพด้านการทำเว็บไซต์น่าจะรู้จัก AI SEO Tools กันบ้างแล้ว เพราะเครื่องมือนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปรับการตั้งค่าต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์และปรับ Content ให้มีประสิทธิภาพในการทำ SEO มากขึ้น ทำให้เว็บไซต์มีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นและติดอันดับบน Search Engine ได้ง่ายขึ้นด้วย

3.Keyword ที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการค้นหาอีกต่อไป
ตั้งแต่เริ่มศึกษาการทำเว็บไซต์และ SEO เรามักจะเห็นผู้เชี่ยวชาญในการทำเว็บไซต์แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาเยอะ ๆ เพราะจะทำให้มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น แต่ในการทำ SEO 2021 ระดับ Advance กลับแนะนำให้เลือกใช้ Keyword ที่มีคนค้นหาน้อยแต่เป็นที่ต้องการ เพราะคำค้นหาดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ได้มากกว่า โดยแทรกคำที่แสดงถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายลงไป เช่น ไม้ถูพื้น ABC รุ่น T123 กับ T456 แบบไหนดีกว่ากัน, มือถือพร้อมแพ็กเกจ ค่าย QQ กับ ค่าย PP คุ้มค่ากว่ากัน เป็นต้น

4.สร้าง Backlink ย้อนกลับไปยังบทความเก่า ๆ
หลายคนหมั่นเขียนบทความลงบนเว็บไซต์แต่กลับลืมแนบลิงก์บทความก่อนหน้าเพื่อสร้างความเชื่อมโยง ทำให้เมื่อมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ใช้เวลาบนเว็บไซต์น้อย ส่งผลให้อันดับบน Search Engine ลดลง ดังนั้นเพื่อสร้างการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ควรหมั่นเข้าไปแก้ไข อัปเดตและแนบลิงก์บทความเก่าให้มีความเชื่อมโยงกัน เพราะจะทำให้เว็บไซต์สามารถทำอันดับบน Search Engine ได้ดีขึ้น

5.ปรับเนื้อหาให้รองรับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search)
เทรนด์การค้นหาข้อมูลด้วยเสียงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การสร้างเนื้อหาให้รองรับการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำ SEO ในอนาคต เช่น การตั้งชื่อหัวข้อบทความด้วยประโยคคำถาม เป็นต้น

หากต้องการพัฒนาเว็บไซต์ให้รองรับการทำ SEO ในอนาคต เทคนิคลับทำ SEO ระดับ Advance ข้างต้นนี้ จะช่วยให้การทำเว็บไซต์มีประสิทธิภาพ และสามารถทำให้อันดับในผลการค้นหาสูงขึ้นได้

แนะนำกลยุทธ์สำคัญในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

แนะนำกลยุทธ์สำคัญในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

การทำ SEO มีความสำคัญต่อการสร้างเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เป็นอย่างมากถ้าต้องการประสบความสำเร็จบนตลาดออนไลน์ การทำ SEO จึงถือว่าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายและรวดเร็วมากที่สุด ดังนั้นจึงขอแนะนำกลยุทธ์สำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม ดังนี้

1.กระตุ้นกลุ่มเป้าหมาย
เริ่มต้นจากการทำ SEO ด้วยการกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้รู้จักกับเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ที่ของคุณให้มากที่สุด โดยการใช้ชื่อของธุรกิจหรือบริการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เลือกใช้ Keyword ที่สามารถทำให้คน Search คีย์เกี่ยวกับธุรกิจของคุณแล้วเจอได้บนหน้าแรก ๆ ของ Google ดังนั้นการวาง Keyword ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องอยู่บนหน้าเว็บไซต์และอยู่บนทุกส่วนของเว็บ เพื่อทำให้ Google ค้นหาคุณได้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ห้ามสแปม Keyword เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจนำพาให้เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ของคุณโดนแบนได้

2.ความรู้คือสิ่งสำคัญ
ความรู้ภายในเว็บไซต์ หมวดหมู่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทความหรือคลิปวิดีโอ ควรถูกทำขึ้นเป็นส่วนเฉพาะในการให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณ ต้องมีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน เช่น ถ้าคุณทำเว็บไซต์ขายอุปกรณ์ก่อสร้างออนไลน์ คุณต้องนำความรู้เกี่ยวกับลวด, เหล็ก, คาน และการเลือกใช้อุปกรณ์ก่อสร้างต่าง ๆ มาลงภายในเว็บไซต์ ซึ่งถือว่ามีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อมีคนต้องการความรู้เหล่านี้ ก็จะคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณ เพื่อมองหาข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งถ้าคุณสามารถทำข้อมูลต่าง ๆ ออกมาให้ความรู้ชัดเจนและแตกต่างไปจากเว็บไซต์อุปกรณ์ก่อสร้างเว็บอื่น ๆ ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ค้นหาและเป็นการแชร์บอกต่อให้ผู้อื่นคลิกเข้ามามากขึ้นอย่างแน่นอน

3.เนื้อหาสอดคล้องกัน
ไม่ว่าคุณจะทำเว็บไซต์เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการใดก็ตาม สิ่งที่คุณจะต้องทำบนเว็บและสื่อออนไลน์ของคุณ คือ การทำให้เนื้อหาสอดคล้องกันไปทั้งหมด ไม่ควรทำให้แตกออกจนกลายเป็นความสับสน เช่น ถ้าคุณทำเว็บไซต์หรือเพจบน Facebook เพื่อขายเสื้อ แต่คุณกลับนำ Content บทความหรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับความบันเทิงในด้านอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับเสื้อมาลงภายในเว็บหรือเพจ ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อให้คลิปที่คุณทำจะเป็นที่ชื่นชอบ แต่ด้วยเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกัน อาจจะทำให้ภาพจำแบรนด์ของคุณกลายเป็นด้านอื่นจนไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นจึงให้ได้แค่ความบันเทิง แต่ไม่สามารถสร้างประโยชน์ใด ๆ ให้กับตัวเว็บหรือเพจได้

4.การใช้คีย์เวิร์ด
หัวใจหลักของการทำ SEO คือ การใช้ Keyword อย่างถูกต้องภายในเว็บไซต์ ไม่ใช่แค่เพียงการใช้ Keyword บนชื่อหรือหน้าแรกของเว็บและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่จะต้องทำให้สอดคล้องกันไปภายในทุกหน้าของเว็บไซต์และทุกส่วนของ สื่อออนไลน์ ที่สำคัญคือคุณจะต้องมีการอัปเดต Keyword สำคัญอยู่เสมอ แม้ว่า Keyword เดิมของคุณจะมีสถิติการค้นหาที่ดีมาอยู่แล้ว แต่ต้องเข้าใจว่า Google มีการพัฒนาศักยภาพของการค้นหา พร้อมการปรับเปลี่ยนและอัปเดตต่าง ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น Keyword จึงถูกอัปเดตไปด้วย ซึ่งในทุก ๆ ปี Google จะมีการมองหา Keyword ที่มีอัตราการค้นหาสูง คุณจึงควรตามข่าวเรื่องเหล่านี้ให้ดี แล้วนำคีย์ที่เหมาะสมต่อธุรกิจของคุณมาใช้ให้ได้ผลมากที่สุด

การทำ SEO ถือเป็นความสำคัญของผู้ที่ต้องการอยู่บนตลาดออนไลน์และโดดเด่นที่สุด สามารถดึงกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ได้ง่ายมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มศักยภาพด้านงานออนไลน์ทุกประเภทได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคุณจึงควรติดตามเทรนด์ Google ให้ดี เพื่อนำพาธุรกิจให้สามารถทำยอดขายและกำไรได้อย่างที่ต้องการ

How to เขียนบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจ

How to เขียนบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจ

Search Engine Optimization (SEO) คือกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้การทำเว็บไซต์ประสบความสำเร็จ โดยมีการเขียนบทความเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยในการสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยปัจจัยที่ช่วยให้การเขียนบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มีดังนี้

1.การเลือกคีย์เวิร์ด หรือคำค้นหา คีย์เวิร์ดเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการทำ SEO หากเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับคำที่ผู้ใช้นิยมพิมพ์เพื่อค้นหา ก็จะยิ่งทำให้มีโอกาสแสดงในผลการค้นหาของ Search Engine ได้มากขึ้น และดีไปกว่านั้นคืออยู่ใน Top10 หน้าแรก โดย Search Engine ชั้นนำได้แก่ Google, Bing, Yahoo เป็นต้น สำหรับเครื่องมือที่ช่วยในการหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเรียกว่า Keywords Research Tool ซึ่งมีให้เลือกจากหลายผู้ให้บริการทั้งแบบฟรีและมีค่าบริการ เพียงป้อนคำที่ต้องการลงไป โปรแกรมจะแสดงรายการคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและคีย์เวิร์ดทางเลือกออกมาให้พิจารณา มีข้อมูลปริมาณการค้นหาต่อเดือน, ค่าใช้จ่ายในการนำคีย์เวิร์ดไปทำโฆษณา เช่น Google Ads รวมถึงแสดงระดับความยากง่ายในการแข่งขัน

2.ตั้งชื่อบทความให้น่าสนใจและถูกใจ Search Engine การตั้งชื่อบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจนั้น ต้องให้ความสำคัญทั้งกลุ่มเป้าหมายและ Search Engine ทำให้การตั้งชื่อบทความ SEO ที่ดีควรมีคีย์เวิร์ดหลักแทรกอยู่เสมอ และมีความยาวประมาณ 50 – 60 ตัวอักษร และต้องเขียนให้น่าสนใจ ดึงดูดให้ผู้ชมคลิกเข้ามายังเว็บไซต์

3.แทรกคีย์เวิร์ดหลักใน Link การทำ Friendly Link โดยการแทรกคีย์เวิร์ดใน URL ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำบทความ SEO แม้ว่าการทำ Friendly Link ภาษาไทยจะมีความซับซ้อนกว่าการทำ Friendly Link ภาษาอังกฤษแต่ก็สามารถทำได้ด้วยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป โดยการทำ Friendly Link จะช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์มากขึ้น

4.เริ่มลงมือเขียนบทความ ในส่วนของการเขียนบทความ SEO เพื่อต่อยอดธุรกิจนั้น ควรแทรกคีย์เวิร์ดลงในบทความแบบกระจายไปทั่วบทความในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยตำแหน่งการแทรกคีย์เวิร์ดควรอยู่ทั้งในหัวข้อ, URL, ย่อหน้าแรก, หัวข้อหลักภายในบทความ, หัวข้อย่อย, เนื้อหาบทความ รวมถึงแทรกลงในคำอธิบายภาพ

5.เพิ่มปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์ด้วยการแทรกลิงก์ที่เกี่ยวข้อง ยิ่งกลุ่มเป้าหมายใช้เวลากับเว็บไซต์นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อเว็บไซต์มากขึ้นเท่านั้น เพราะระบบ Bot ใน Search Engine จะตีความว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ทำให้มีผลต่อการเลื่อนอันดับบน Search Engine ดังนั้น ผู้เขียนบทความ SEO จึงควรแทรกลิงก์ไปยังบทความอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ตนเองด้วย เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

6.ทำ Backlinks เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย สามารถทำได้โดยการนำลิงก์บทความไปฝากไว้ในเว็บไซต์อื่น เช่น การเขียนบทความสั้น ๆ แล้วแทรกลิงก์โพสต์ใน Social Media (Facebook, Twitter หรือ Instagram) ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังช่วยขยายฐานกลุ่มเป้าหมายด้วย

การเขียนบทความ SEO เป็นสิ่งที่นักธุรกิจในปัจจุบันควรให้ความสำคัญ และทำด้วยวิธีการที่ถูกต้อง จะช่วยในการต่อยอดธุรกิจและสร้างฐานลูกค้ารุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้ SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร และควรเลือกวิธีไหนดี

นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้ SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร และควรเลือกวิธีไหนดี

เครื่องมือสำหรับทำการตลาดออนไลน์มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่เชื่อว่าอาวุธที่หลายคนคุ้นหูในยุคนี้คือการทำ SEO และเมื่อเอ่ยถึง SEO แล้ว อีกหนึ่งคำที่มักมาด้วยกันบ่อย ๆ คือ SEM โดยสองคำนี้ทำให้นักการตลาดออนไลน์หลายคน โดยเฉพาะนักการตลาดออนไลน์มือใหม่เกิดความสงสัยว่าแตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้วิธีไหนดี วันนี้เรามีคำตอบดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้อาวุธที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจคุณ

ทำความรู้จัก SEO และ SEM
SEO หรือชื่อเต็ม Search Engine Optimization คือ วิธีการทำให้เว็บไซต์ให้ขึ้นอยู่อันดับต้น ๆ ของ Search Engine โดยเฉพาะ Search Engine ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น Google, Yahoo และ Bing โดยจุดเด่นการทำ SEO คือ ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เน้นการออกแบบเว็บไซต์ให้สมบูรณ์แบบตามเกณฑ์การให้คะแนนของ Search Engine ทั้งการทำ On-page หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สมบูรณ์ เช่น การกระจายคีย์เวิร์ด ซึ่งคีย์เวิร์ดต้องตรงกลุ่มเป้าหมาย การจัดทำคอนเทนต์คุณภาพ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของข้อมูล เป็นต้น

นอกจากการทำ On-page แล้วยังมีเรื่องการทำ Off-page อย่างการทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ โดยหากมีคนคลิกเข้ามาจำนวนมาก Search Engine จะมองว่าเว็บไซต์คุณน่าเชื่อถือ เรียกคะแนนเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี โดยการทำ On-page และ Off-page จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งท่านเจ้าของเว็บไซต์จำเป็นต้องอดใจรอ และหากวันใดที่เว็บไซต์ขึ้นอันดับต้น ๆ ได้ รับรองว่าอัตราการคลิกย่อมสูง เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือ และเป็นที่รู้จักมากขึ้นแน่นอน

สำหรับการทำ SEM หรือชื่อเต็ม คือ Search Engine Marketing คือการผลักให้เว็บไซต์ขึ้นอันดับแรกของ Search Engine เช่นกัน แต่วิธีนี้จะใช้การจ่ายเงินค่าโฆษณา โดยจะเสียค่าใช้จ่ายตามจำนวนคลิก แม้จะมีค่าใช้จ่ายแต่ก็มีข้อดีคือ เห็นผลรวดเร็ว ไม่ต้องรอนานแบบ SEO ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แบบทันใจ และแม้เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ทันที แต่ก็มีข้อเสียคือหากหยุดจ่ายเงิน การทำงานของ SEM จะหยุดชะงักทันทีเช่นกัน

ระหว่าง SEO กับ SEM ควรเลือกใช้วิธีไหนดี
จะเห็นว่า SEO และ SEM มีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ไม่สามารถเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งได้ เนื่องจากการทำการตลาดออนไลน์จำเป็นต้องพลิกแพลงและใช้เครื่องมือร่วมกันทุกรูปแบบ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทำให้เจ้าของธุรกิจควรใช้ SEO และ SEM ร่วมกัน โดยอาจเลือกใช้ SEM ทดลองทำโฆษณา เพื่อสังเกตพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายเป็นระยะ ๆ ในขณะเดียวกันหากหวังผลระยะยาว แนะนำให้ความสำคัญ SEO มากกว่า เพราะการทำ SEO เน้นการสร้างผลลัพธ์ระยะยาวนั่นเอง

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ใครที่กำลังวางแผนทำการตลาดออนไลน์เพื่อต่อยอดให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ห้ามพลาดเลือกใช้ SEO และ SEM เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจ และนอกจากสองวิธีนี้แล้ว อย่าลืมใช้เครื่องมือการตลาดออนไลน์ประเภทอื่นควบคู่กันไป เพื่อการตลาดรอบด้านและทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในที่สุด

แนะนำ 5 เครื่องมือช่วยทำ SEO ให้ติดอันดับ แถมใช้งานง่าย

แนะนำ 5 เครื่องมือช่วยทำ SEO ให้ติดอันดับ แถมใช้งานง่าย

ปัจจุบัน การทำ SEO ให้ติดอันดับบนหน้าการค้นหาของ Google ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ต่าง ๆ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ หลายคนจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ที่ยอดเยี่ยมเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ให้สามารถแข่งขันกับเจ้าอื่นได้และมีโอกาสติดอันดับมากขึ้น

ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 5 เครื่องมือช่วยทำ SEO ให้ติดอันดับ ทั้งยังใช้งานได้ง่ายอีกด้วย

1.Google Analytics
ถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ขาดไม่ได้สำหรับคนทำ SEO เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะช่วยวิเคราะห์จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ แหล่งที่มาของการเข้าชมเว็บไซต์ ตลอดจนระยะเวลาที่ผู้ใช้งานอยู่ในเว็บไซต์ของเราแล้ว ยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อีกหลายอย่างเพื่อให้เราสามารถปรับแต่งเนื้อหาในเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ของผู้เข้าชมได้ดีขึ้นอีกด้วย

2.Google Search Console
เครื่องมือทรงคุณค่าที่เปิดให้ใช้บริการฟรีอีกบริการหนึ่งของ Google ช่วยให้เราสามารถดูแลและปรับปรุงเว็บไซต์ของเราให้มีคุณภาพมากขึ้น สามารถบอกได้ว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเราเข้ามาจาก “คีย์เวิร์ด” อะไร หรือจำนวนการคลิกเข้าเว็บไซต์ของเราจาก Google ทั้งหมด รวมถึงคอยแจ้งปัญหาข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่ทำให้เว็บไซต์ของเรามีปัญหาได้อีกด้วย

3.Majestic
เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ Backlinks ที่เราใช้ในเว็บไซต์ว่า Backlinks นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ควรอยู่ในหมวดหมู่อะไร เนื่องจาก ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นอันดับแรก ดังนั้น การจัดอันดับจึงมักพิจารณาโดยอิงอยู่กับการใช้ Backlinks ที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน ในทางตรงข้าม หากลิงก์ที่มีนั้นมาจากเว็บไซต์คุณภาพต่ำ ไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็อาจส่งผลให้เว็บไซต์ของเราถูกลดอันดับได้เช่นกัน

4.Structured Data Testing Tool
อีกหนึ่งเครื่องมือที่เปิดให้ใช้บริการฟรีจาก Google เป็นเครื่องมือที่จะช่วยตรวจสอบโครงสร้างหรือรูปแบบข้อมูลเพื่ออธิบายว่าเนื้อหาของบทความหรือคอนเทนต์แต่ละส่วนหมายถึงอะไร ช่วยให้เวลา Google เข้ามาเก็บข้อมูลก็จะเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า เว็บไซต์ของเราเกี่ยวกับอะไร ขายสินค้าหรือบริการอะไร มีความน่าเชื่อถือหรือมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน ยิ่งเราใช้ Structured Data Testing Tool ได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้ Google จัดเก็บข้อมูลเว็บไซต์เราได้สะดวกมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ Google จะดึงข้อมูลในเว็บไซต์เราไปแสดงผลในหน้าผลการค้นหามากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

5.Ubersuggest
เครื่องมือใช้ในการวิเคราะห์ “คีย์เวิร์ด” ที่เราเลือกใช้ในบทความหรือคอนเทนต์ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน สามารถบอกค่าความนิยมและระดับการแข่งขันของคีย์เวิร์ดคำนั้น ๆ เพื่อช่วยให้เราสามารถเลือกใช้คีย์เวิร์ดได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ และหลีกเลี่ยงคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับได้ยากขึ้น

ยิ่งการทำ SEO เป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ การแข่งขันกันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เครื่องมือดังกล่าวจึงมีส่วนช่วยในการทุ่นแรงได้อย่างดี ผู้ที่ต้องการทำ SEO จึงต้องฝึกใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

การทำ SEO ตอบโจทย์ธุรกิจให้เติบโตทางออนไลน์ได้อย่างไร

การทำ SEO ตอบโจทย์ธุรกิจให้เติบโตทางออนไลน์ได้อย่างไร

ทุกวันนี้บรรดาบริษัทธุรกิจตระหนักดีว่าการทำ SEO คือวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อให้ถูกหลักของ Search Engine ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น ถือเป็นวิธีการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมาก หลายคนเข้าใจว่าประโยชน์ข้อสำคัญคือการปรับปรุงอันดับการค้นหาเว็บไซต์ให้อยู่ในลำดับแรก ๆ ช่วยให้ค้นเจอง่ายและกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น แต่ไม่ทราบรายละเอียดอื่น ๆ ว่าการทำ SEO ช่วยส่งผลดีต่อธุรกิจให้เติบโตได้อย่างไร เราจะมาแจกแจงเป็นข้อ ๆ ให้เห็นภาพมากขึ้นกัน

1.เนื้อหาคอนเทนท์เป็นประโยชน์

กลยุทธ์การทำ SEO ไม่เพียงเป็นเครื่องมือการตลาดที่ช่วยให้เว็บไซต์มีตัวตนและติดอันดับต้น ๆ ในโลกออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเน้นการปรับปรุงข้อมูลและบทความที่ครอบคลุมเนื้อหาเชิงลึกและมีหัวข้อที่หลากหลาย ถ้าเขียนคอนเทนท์ที่มีข้อมูลเป็นประโยชน์ มีคำตอบหรือข้อมูลตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ทำให้เข้ามาใช้เว็บไซต์บ่อย ยิ่งมีการเข้าใช้งานนานเท่าไร ยิ่งได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ และมีคนรู้จักมากขึ้นเท่านั้น การนำเสนอข้อมูลหลายรูปแบบทั้งบทความ รูปภาพ กราฟิก และคลิปวิดีโอบนเว็บไซต์ทำให้ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญและน่าไว้วางใจ การใช้คีย์เวิร์ดที่ค้นหาง่ายและตอบคำถามลูกค้าอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกกลยุทธ์สำคัญที่ดึงดูดผู้ใช้งานมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า SEO ช่วยให้ธุรกิจอยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Google ได้อย่างไร

2.ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจผลการค้นหาในเว็บไซต์มากที่สุด

การทำ SEO มอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ โดยปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ช่วยให้พบข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย มีหัวเรื่องและหัวข้อย่อย สร้างลิงก์ที่เป็นประโยชน์เชื่อมโยงเนื้อหาทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ทำให้ระบบการค้นหามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้การสร้างเว็บไซต์ที่เหมาะกับหน้าจอโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไร้สายอื่น ๆ ยังส่งผลให้ใช้งานง่าย ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ทำให้เกิดความพอใจและคลิกเข้าใช้งานเว็บไซต์เป็นระยะเวลานาน ธุรกิจมีโอกาสขายสินค้าที่ถูกใจลูกค้ารวมถึงกลับเข้ามาใช้งานต่อไปในอนาคต

3.กลยุทธ์ SEO สนองตอบความต้องการของผู้ใช้โดยตรง

มองเป้าหมายหลักในการทำ SEO จะเห็นได้ว่าการออกแบบเว็บไซต์และการทำคอนเทนท์ต่าง ๆ มีจุดประสงค์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ การจัดทำโครงสร้างเว็บไซต์มีการคิดอย่างเป็นระบบ รวมไปถึงการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองโดยคิดจากมุมมองของผู้ใช้ว่าต้องการอะไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาที่ดีขึ้น โดยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดหลัก ใช้คำและวลีที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ รวมทั้งเขียนคำอธิบายเนื้อหาย่อ หรือ Meta Tag ด้วยคำสั้น กะทัดรัด ชัดเจน แสดงข้อมูลที่มีประโยชน์และรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง

กลยุทธ์ SEO คือการวิเคราะห์ว่าผู้ใช้กำลังค้นหาอะไรพร้อมกับคาดแนวโน้มพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบัน ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงความต้องการได้ดีขึ้นและตอบโจทย์ความพึงพอใจได้มากที่สุด เมื่อผู้ใช้พอใจบริการ ตลอดจนพอใจสินค้านั้นจะกลับเข้ามาใช้งานอีก ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับแรก ๆ ใน Google เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเจอเว็บไซต์ง่ายและคลิกเข้ามายังเว็บไซต์มากขึ้น

รวมเทคนิคสำหรับทำ SEO On Instagram ที่หลายคนยังไม่รู้!

รวมเทคนิคสำหรับทำ SEO On Instagram ที่หลายคนยังไม่รู้!

ในยุคปัจจุบัน Social media เปรียบเสมือนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน เพราะทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและค้นหาสิ่งที่ตัวเองสนใจ ซึ่ง Instagram เป็นหนึ่งใน Social media ที่ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก โดยความแตกต่างระหว่าง Instagram กับ Social media อื่น ๆ อยู่ตรงที่ Instagram ใช้การโพสต์รูปภาพเป็นหลักโดยมีคำอธิบายภาพเป็นส่วนประกอบ แต่สำหรับ Social media อื่น ๆ มักใช้การโพสต์ข้อความเป็นส่วนมาก ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่หาสินค้าจากอินสตาแกรมจึงมีความจำเพาะเจาะจงมากกว่า ซึ่งการเรียนรู้เทคนิคสำหรับทำ SEO On Instagram เพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าถึงได้มากกว่า โดยเทคนิคการทำ SEO สำหรับอินสตราแกรมสามารถทำได้ ดังนี้

ปรับแต่งหน้าข้อมูลบน Instagram ให้น่าสนใจ
สำหรับผู้ที่ต้องการทำการตลาดบน Instagram ควรเริ่มจากการตั้งชื่อ Username ให้ค้นหาง่าย อาจใช้ Keyword, หรือชื่อแบรนด์เพื่อสร้างการจดจำ จากนั้นเลือกรูปโปรไฟล์ที่มีชื่อแบรนด์ให้เห็นได้อย่างชัดเจน ตั้งค่าโปรไฟล์ให้เป็นสาธารณะเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงใส่ลิงก์เข้าถึงเว็บไซต์ในเกี่ยวกับฉันเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย

การแทรกคีย์เวิร์ด (คำค้นหา)
แม้ว่าจะเป็นการทำ Search Engine Optimization บนอินสตาแกรม Keyword หรือ คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น ปากกา, ดินสอ, กระดาษ, กระเป๋าสตางค์ หรือกล่องกระดาษ เป็นต้น ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากทำให้โปรไฟล์แสดงให้เห็นเป็นดับแรกของการค้นหา โดยนำคีย์เวิร์ดแทรกลงในทุกพื้นที่ เช่น ชื่อโปรไฟล์, Username และคำอธิบาย

ควรหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมากกว่า 1 คำ
การแทรกคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งจำเป็นและเพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มากขึ้น การมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้ามากกว่า 1 คำจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวงกว้างได้ โดยนำคีย์เวิร์ดรองเพิ่มลงใน Bio และการเขียนคำอธิบายอยู่เสมอ

Hashtags พื้นที่สำคัญสำหรับนักค้นข้อมูล
การใส่ Hashtags ลงในคำอธิบายรูปภาพที่นำมาโพสลงอินสตาแกรมเปรียบเสมือนการติด Tags บนบทความในเว็บไซต์ ซึ่งประโยชน์ของการใส่ Hashtags จะเป็นตัวเชื่อมโยงโพสต์ของเราเมื่อมีผู้กด Hashtags ของผู้อื่น ดังนั้นการใส่ Hashtags ที่ถูกต้องจึงควรใส่ Keyword หลัก และ Keyword รองลงไปเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังหาข้อมูลผ่าน Hashtags

เพิ่มข้อความเขียนกำกับภาพ
สำหรับการเขียนข้อความกำกับภาพใน Instagram เปรียบเสมือนการใส่ Alt image (หรือคำอธิบายภาพ) ซึ่งการใส่ข้อความเขียนกำกับภาพด้วย Keyword จะช่วยเพิ่มโอกาสให้รูปภาพใน Instagram ติดอันดับ SEO Image ใน Search Engine มากขึ้นด้วย ซึ่งการติดอันดับ SEO Image จะช่วยสร้างการเข้าถึงจากภายนอกเพิ่มมากขึ้น

การทำ SEO On Instagram มีความคล้ายคลึงกับการทำ SEO On Website ดังนั้นจึงควรแทรกคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาลงในแต่ละโพสต์ในปริมาณที่เหมาะสม และหมั่นโพสต์รูปภาพพร้อมคำอธิบายเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในระยะยาว

ขั้นตอนก่อนและหลังจ้างทำ SEO มีอะไรบ้าง

ขั้นตอนก่อนและหลังจ้างทำ SEO มีอะไรบ้าง

การทำ SEO เป็นสิ่งที่ดีต่อธุรกิจออนไลน์ทุกประเภท เนื่องจากปัจจุบันทุกเว็บไซต์มีอัตราการแข่งขันที่สูงขึ้น เพราะผู้คนหันมาเปิดเว็บไซต์ขายของรองรับความต้องการของลูกค้าทั่วโลก การจ้างทำ SEO จึงเป็นสิ่งที่ช่วยประหยัดเวลาและยังหวังผลในเรื่องอันดับการสืบค้นด้วย keyword หนึ่ง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นด้วย

เรามาดูกันว่า ถ้าคุณต้องการจ้างทำ SEO จะมีขั้นตอนก่อนและหลังการทำ SEO อย่างไรบ้าง

ขั้นตอนก่อนจ้างทำ SEO

  1. กำหนดคีย์เวิร์ด
    เจ้าของเว็บไซต์ต้องแจ้งแก่บริษัทรับทำ SEO ว่าจะใช้ keyword ใดในการทำ SEO เช่น คุณขาย Gadget ไอที คุณก็อาจจะใช้คำว่า Gadget ไอที 2020, Gadget IT คนรุ่นใหม่, Gadget ไอทีที่ขาดไม่ได้ หรือหากคุณขายผลิตภัณฑ์วิตามินซีรับประทานเพื่อแก้หวัดและบำรุงผิว ก็อาจใช้คำว่า วิตามินผิวขาวใส, วิตามินซีแก้หวัด ฯลฯ เมื่อส่งคีย์เวิร์ดให้แล้ว ทางบริษัทจะทำการประเมินต่อไป
  2. วิเคราะห์อัตราการแข่งขัน
    บริษัทรับทำ SEO จะนำคีย์เวิร์ดที่ได้รับจากลูกค้าไปวิเคราะห์ว่ามีอัตราการแข่งขันสูงมากเพียงใด การใช้ keyword ที่ได้รับความนิยมระดับหนึ่งและมีคู่แข่งน้อย จะทำให้มีโอกาสติดอันดับหน้าแรกได้ง่ายและเร็วกว่า นั่นหมายถึงจะถูกกลุ่มเป้าหมายพบเห็นมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันมักจะเป็น keyword ที่มีความชัดเจน เช่น ระบุกลุ่มเป้าหมาย สี รุ่น ราคา ฯลฯ เช่น โน้ตบุ๊ก รุ่น xxx สีดำ ราคา xxx หรือ มือถือไอโฟน รุ่น xxx จอ xxx นิ้ว xxx บาท ฯลฯ เมื่อมีผู้ที่ต้องการค้นหาสินค้าด้วย keyword ที่ใกล้เคียง ก็มีโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะได้อยู่ในอันดับบน ๆ หรือหน้าแรก และถูกพบเห็นก่อนเว็บไซต์อื่น ๆ
  3. ทำใบเสนอราคา
    เมื่อบริษัทวิเคราะห์ทางสถิติเรียบร้อยแล้ว จะทำใบเสนอราคาจัดส่งให้กับลูกค้าพิจารณา เพื่อประเมินว่ามีความคุ้มค่าและยังต้องการจ้างให้ทำหรือไม่ หากเจ้าของเว็บไซต์ยืนยันก็จะเกิดการทำ SEO เป็นลำดับต่อไป หากลูกค้าเห็นว่าราคาไม่เหมาะสม ก็จะต้องพูดคุยชี้แจงเพื่อต่อรองหรือพิจารณาผู้เสนอราคารายอื่นแทน

ขั้นตอนหลังการทำสัญญา

  1. ลงมือทำ
    หลังจากที่ลูกค้ายืนยัน ทางบริษัทผู้รับจ้างทำ SEO จะปรับแต่งทั้งในส่วนโครงสร้างเว็บไซต์ การกำหนดรูปแบบคอลัมน์ การเลือกชนิดฟอนต์ การใส่บทความ SEO การตั้งค่า h1 h2 meta-description และการใส่ข้อมูลทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อทำให้อันดับดีขึ้นเรื่อย ๆ
  2. แสดงตัวเลขสถิติที่เกี่ยวข้อง
    บริษัทที่เป็นมืออาชีพด้าน SEO จะสรุปรายงานผลความคืบหน้า SEO เป็นประจำทุกเดือนแก่เจ้าของเว็บไซต์ เพื่อให้มั่นใจว่าทำงานได้คุ้มกับค่าจ้างตามที่ตกลง โดยแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเข้าถึงข้อมูลและอันดับ SEO ที่เปลี่ยนไป เป็นต้น
  3. ผลการรักษาอันดับหลังหยุดจ้าง
    ผลการทำ SEO จะยังคงอยู่ต่อเนื่อง 3-6 เดือนหลังหมดสัญญาการจ้าง ซึ่งหากอันดับยังคงสม่ำเสมออยู่ได้ 3-6 เดือน ก็แสดงว่าเป็นการทำ SEO แบบถูกต้องตามระเบียบของ Google หรือ Search Engine ในทางตรงกันข้าม หากอันดับร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังเลิกจ้าง ก็แสดงว่าบริษัทรับจ้างทำ SEO ดังกล่าวอาจใช้วิธีที่ Google ไม่เห็นชอบ หรือที่เรียกว่า Blackhat SEO ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ได้

การจ้างทำ SEO นั้นมีขั้นตอนทั้งก่อนและหลังที่เจ้าของกิจการออนไลน์ควรรู้ เพื่อให้มีความรัดกุมในการคุยงานและการทำสัญญา จะได้มั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทที่เป็นมืออาชีพ และลดความเสี่ยงที่จะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงด้วย

ลุยสร้างเว็บทำ SEO ในช่วงโควิดระบาด 2020

ลุยสร้างเว็บทำ SEO ในช่วงโควิดระบาด 2020

เราทุกคนต่างรู้ดีว่า ในปี 2020 ทั่วโลกประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำจากวิกฤตโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี ทำให้ทุกวงการธุรกิจจำเป็นต้องหาช่องทางทำให้การซื้อขายผ่านระบบออนไลน์เติบโตผ่านช่วงเวลานี้ให้ได้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวถึงข้อดีของการทำ SEO ในช่วงไวรัสโควิดระบาดไว้อย่างไรบ้าง มาดูก่อน

ถ้าคุณมีเว็บไซต์ออนไลน์อยู่แล้ว การทำ SEO อย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลานี้ จะทำให้อันดับของคุณถูกสืบค้นอยู่ในอันดับต้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับผู้ที่เพิ่งเข้ามาทำธุรกิจบนตลาดออนไลน์ เพราะการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูล ให้ระบบอัลกอริทึมของ Google ไปเก็บและประมวลผลเป็นระยะ ๆ ยิ่งทำ SEO นานและสม่ำเสมอ ก็ยิ่งมีโอกาสไปได้ไกลเหนือคู่แข่งได้อย่างมาก จากผลกระทบของวิกฤตโควิด ทำให้นักธุรกิจรุ่นใหม่เริ่มมองเห็นแล้วว่า การทำการตลาดออนไลน์นั้นจะมีความยั่งยืนยิ่งกว่า หากประสบปัญหาที่ไม่คาดฝันอย่างการระบาดของไวรัส หรือภาวะความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต

ผู้ที่ต้องการขายสินค้าแนวแฟชั่น กีฬา แม่และเด็ก สินค้าเกษตร ทัวร์การท่องเที่ยว ฯลฯ จึงต้องเริ่มวางแผนให้การทำธุรกิจออนไลน์มีความยั่งยืนได้ ซึ่งการทำ SEO เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในขณะนี้ โดยศึกษาจาก Google หรือลงเรียนคอร์สสอนออนไลน์ก็ได้เช่นกัน ตลอดปี 2020 เจ้าของกิจการจำเป็นต้องรัดเข็มขัด ลดการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และไม่ควรจ้างโฆษณาโดยไม่คำนวณจุดคุ้มทุนให้ชัดเจน การทำ SEO เป็นการตลาดที่เน้นการพัฒนาเว็บไซต์ จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างการโฆษณาแบนเนอร์หรือจ้างอินฟลูเอนเซอร์ใด ๆ เรียกว่า คุณจะประหยัดต้นทุนทางธุรกิจได้หลายแสนบาท

ขายสินค้าไทยไปต่างประเทศได้สะดวก

การขายของให้ชาวต่างชาติที่สั่งสินค้าทางออนไลน์ในช่วงไวรัสโควิด-19 เป็นช่องทางที่ดีที่ทำให้ธุรกิจยังเดินหน้าได้ เพราะทั่วโลกยังต้องควบคุมระยะห่าง หรือ social distance และงดการเดินทางข้ามประเทศตามนโยบายของแต่ละชาติ หากคุณทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ก็เท่ากับเป็นช่องทางให้คนที่ต้องการสั่งซื้อสินค้าจากไทย ทำการสั่งออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงนั่นเอง ทั้งนี้ขอแนะนำให้ทำเว็บไซต์ระบบสองหรือสามภาษา เพื่อตรงกับภาษาที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายใช้สื่อสารด้วย

การทำ SEO ในช่วงปี 2020 นี้ เป็นการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้ผ่านช่วงโควิด-19 ระบาดได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นการสร้างรากฐานของเว็บไซต์อย่างมีคุณภาพในระยะยาวด้วย ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโต สร้างแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ขยายตลาดได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ และทำให้มีอนาคตที่ก้าวไกลมากขึ้น

ใช้เครื่องมือสำคัญทำอันดับเว็บด้วยตัวเอง

ใช้เครื่องมือสำคัญทำอันดับเว็บด้วยตัวเอง

การทำ SEO เบื้องต้น มี 2 ประเภท คือ on page ซึ่งจะเป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้ด้วยการทำในเพจหรือเว็บไซต์ของคุณและ Off Page เป็นการเชื่อมต่อไปยังเว็บต่าง ๆ ที่มีคนสนใจมาก โดยการนำเว็บของคุณไปฝากในเว็บนั้น เช่น พันทิป ก็จะมีการตอบกลับที่เรียกว่า Backlink ทำให้การทำ SEO ติดหน้าแรกได้เร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะทำ SEO ด้วยตัวเอง คุณต้องทราบขั้นตอน พร้อมการใช้เครื่องมือสำคัญเพื่อทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์คุณได้ง่าย ๆ

การวิเคราะห์ keyword – การทำ SEO เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะคุณต้องทราบว่าคำไหนที่คนค้นหาบ่อย ๆ และหาคำนี้มาเพื่ออะไรหรือทำอะไร โดยเครื่องมือที่สามารถค้นหาคำได้ง่าย คือ Ubersuggest ก็จะทำให้มีคีย์เวิร์ดเพื่อทำโครงสร้างเว็บไซต์ และช่วยให้ผู้คนเข้ามาพบสินค้าหรือบทความอย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งจะแตกต่างกับคนที่จะใช้การลงโฆษณา Google Adwords ก็จะใช้เครื่องมือของ Google ที่เรียกว่า Google keyword planner

การวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี – เริ่มต้นด้วยชื่อร้านหรือชื่อสินค้า เรียกว่า Domain และสิ่งที่ส่งผลกับ Google คือ .com แต่ .net .co ส่งผลไม่มากนัก นอกจากนี้ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญในการทำ SEO คือ Hosting เพราะถ้าไม่ดีอาจจะทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าได้ จึงควรใช้ Hosting ที่มีคุณภาพ หากยังไม่มีงบให้ใช้ของไทยไปก่อน เมื่อมีทุนทรัพย์มากพอก็ให้ใช้ Hosting ต่างประเทศซึ่งมีความเร็วมากในการช่วยส่งเสริม SEO

บทความที่ดี – การเขียนชื่อเรื่อง (Title) และคำอธิบายย่อ (Description) ที่ดี จะทำให้สินค้าติดอันดับ ก็จะเพิ่มโอกาสขายสินค้าได้เลย หรือถ้าเป็นบทความที่ดึงคนเข้ามาก่อนแล้วจึงทำ marketing ทีหลังก็ได้ ซึ่งบทความที่ดีจะต้องดูความหนาแน่นของ keyword ประมาณ 2- 3 เปอร์เซ็นต์ในบทความก็เพียงพอแล้ว เช่น เนื้อหามีประมาณ 1000 คำ ไม่ควรจะมี keyword ซ้ำ ประมาณ 20 – 30 คำ

ใช้เครื่องมือช่วยติดตามผล – การติดตั้งเครื่องมือของ Google มีหลายตัว แต่หลัก ๆ ก็จะใช้อยู่ 2 ตัว คือ Google search console ซึ่งเป็นเครื่องมือดูแลเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการเช็คอันดับ Google เช็คอันดับ keyword เช็คความเร็วเว็บ ข้อความเร็วควรคำนึงถึงเนื้อหาหน้าเว็บด้วย ถ้าเป็นเว็บ ตารางบอลพรุ่งนี้ ความเร็วอาจไม่เท่าเว็บบล็อคข่าวเพราะมีการซ้อน code ตารางหลายชั้น เราจึงต้องเข้าใจคอนเซ็ปของเว็บเหนือความเร็วไวอีกแง่นึง กับ เครื่องมือ Google Analytics ที่ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ว่าผู้คนได้เข้ามาที่หน้าเพจใดบ้าง และใช้ระยะเวลาอยู่ในหน้าเพจนานเท่าใด เพราะฉะนั้น ต้องใช้เครื่องมือทั้ง 2 ตัวนี้ ร่วมกัน

เมื่อทำตามขั้นตอน และใช้เครื่องมือสำคัญในการทำ SEO ด้วยตัวเองแล้ว ก็ให้ตรวจสอบวัดผลอันดับด้วย Bounce Rate หมายความว่า วัดผลจากอัตราการเข้ามาที่เว็บไซต์ ถ้าคนเข้ามาแล้วออกเลย Google จะมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ ซึ่งจะส่งผลต่ออันดับ Google จึงต้องทำ Bounce Rate ให้น้อยลงเนื่องจากยิ่งน้อยยิ่งดี ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ วิธีแก้ไขหาก Bounce Rate สูงมาก คือ ให้สร้างลิงก์เพิ่มในหน้าเว็บไซต์นั้นเพื่อให้คนคลิ๊ก นอกจากนี้สามารถวัดผลได้จาก Time on page หรือวัดจากระยะเวลาที่ผู้ชมอยู่ในเว็บไซต์ เช่น ถ้าอยู่ประมาณ 4 นาที แสดงให้เห็นว่าบทความมีประโยชน์นั่นเอง