ข้อดีของการจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO

ข้อดีของการจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO

บรรดาเว็บไซต์ธุรกิจชั้นนำต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ค้นพบได้เร็วใน Google ส่งผลดีต่อการเพิ่มยอดขายทางออนไลน์ และกำลังคิดที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญรับทำ SEO เข้ามาช่วยปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหาของ Google แต่ยังลังเลว่าการลงทุนนี้จะเกิดผลดีต่อธุรกิจหรือไม่ อยากประหยัดต้นทุนลองทำ SEO ด้วยตัวเองโดยไม่มีเวลาหรือไม่มีประสบการณ์จะทำได้จริงหรือ เรามาหาคำตอบไปด้วยกัน

1.เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย

การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO จะช่วยให้มีการทำงานที่เป็นระบบ มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน มีประสบการณ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ด้วยกลยุทธ์ SEO เพื่อผลักดันเว็บไซต์ของคุณขึ้นเป็นผู้นำในหน้าผลลัพธ์ของ Google จึงช่วยให้มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ มีโอกาสนำเสนอสินค้าหรือบริการก่อนคู่แข่ง ส่งผลให้เพิ่มโอกาสในการขายได้ก่อนอย่างแน่นอน

2.รู้วิธีการทำ SEO ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

ความสำเร็จธุรกิจไม่ใช่เรื่องที่จะมาคาดเดาหรือลองถูกลองผิดให้เสียเวลาเพราะจะทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ไปได้ รวมถึงอาจสร้างความเสียหายต่อธุรกิจได้ด้วย ตัวอย่างเช่น การสร้างลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ โดยเน้นจำนวนมากแต่ไม่คัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์ การสร้างลิงก์ผิดประเภทกลายเป็นผลเสียทำให้เว็บไซต์ขาดความน่าเชื่อถือและอาจถูกแบนจากการจัดอันดับเพื่อเป็นการลงโทษด้วย ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำวิธีการทำ SEO แบบสายขาวช่วยให้เข้าสู่การจัดอันดับอย่างราบรื่นและรวดเร็วได้

3.โฟกัสกับธุรกิจของคุณโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด

เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญรับหน้าที่การทำ SEO เพื่อยกระดับเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูงแล้ว เจ้าของธุรกิจสามารถวางใจและมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจให้ก้าวหน้าเติบโตได้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะต้องหาเวลาไปปรับแต่งเว็บไซต์ เขียนเนื้อหาบทความใหม่ ไปจนถึงสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น ๆ การไว้ใจให้ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ ช่วยลดความเครียดให้กับเจ้าของธุรกิจไปได้มากทีเดียว

ในกรณีที่ต้องการทำ SEO ด้วยตัวเอง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร

  • ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือไม่มีค่าใช้จ่าย เจ้าของธุรกิจอาจไม่มีความเป็นมืออาชีพก็จริง แต่ความรู้พื้นฐานอาจปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีคุณภาพดีขึ้นและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แบรนด์ได้ไม่มากก็น้อย ช่วยประหยัดต้นทุนค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญไปในตัว
  • เนื่องจากเจ้าของธุรกิจรู้จักสินค้าหรือบริการของตนเองดีที่สุด ในขั้นตอนการเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาจึงเลือกคำจำกัดความที่ตรงใจลูกค้า ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้ผู้เชี่ยวชาญทำความเข้าใจในตัวสินค้าและวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เข้ากัน
  • เจ้าของธุรกิจยังทราบจุดเด่นของแบรนด์และผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดีจึงรู้ว่าบทความแบบไหนเหมาะกับเว็บไซต์ของตนเอง แต่การทำ SEO อาจทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจและส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ทำให้โดนแบนได้

จากบทความข้างต้นสรุปได้ว่าผู้เชี่ยวชาญการทำ SEO มีความรู้และประสบการณ์สามารถตัดสินใจอย่างชาญฉลาดว่าควรทำอย่างไรจึงปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาบน Google ส่งผลให้อันดับอยู่ในหน้าแรก ๆ และจำนวนผู้ค้นหามองเห็นของคุณเพิ่มมากขึ้น

ทำ SEO ใน Facebook ดีไหม

ทำ SEO ใน Facebook ดีไหม

การทำ SEO หรือ search engine optimization ไม่ได้จำกัดเฉพาะการทำในเว็บไซต์เท่านั้น แม้แต่ facebook ก็ทำได้เช่นกัน เชื่อหรือไม่ว่าจากสถิติล่าสุด มีคนไทยใช้ Facebook มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกและหนึ่งคนมีมากกว่าหนึ่งแอคเค้าท์ด้วย แสดงถึงโอกาสในการขายสินค้าและบริการที่สูงหากเราทำ SEO ใน Facebook อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ได้รับประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

มีโอกาสถูกเห็นมากขึ้น

มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่า Facebook มีวิธีปิดช่องทางการเห็นสำหรับเพจที่คุณภาพต่ำ หรือเน้นการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว นั่นแสดงว่า Facebook มีนโยบายที่ต้องการเพิ่มสาระความรู้ให้แก่ผู้อ่านใน facebook มากขึ้นเพื่อเพิ่มการใช้งานที่สูงขึ้นไปแข่งกับ google ถ้าเราทำ SEO ใน facebook ก็เท่ากับดำเนินธุรกิจตามนโยบายของ facebook โอกาสถูกเห็นจะมากขึ้นตามไปด้วย

มีการแชร์และบอกต่อบทความมากขึ้น

การทำ SEO ในบทความและรูปภาพบน facebook ที่เน้นสาระความรู้มากกว่าโฆษณา อาจทำให้มีการแชร์บอกต่อมากขึ้น เช่น เราขายสินค้าเกี่ยวกับอาหารสุนัข ถ้าทำบทความ SEO ที่เน้นความรู้เรื่องโรคในสุนัข แนะนำพื้นฐานการดูแลลูกสุนัขแบบง่าย ๆ บอกเล่าความสำคัญของการฉีดวัคซีนสุนัข ฯลฯ บทความเหล่านี้จะเข้าถึงกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงที่อยากแชร์และบอกต่อมากขึ้น และจะทำให้มีคนอยากมาอุดหนุนซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นตามมาด้วย

ทำให้เพจเป็นระเบียบ

พัฒนา facebook fanpage ตามแนวทาง SEO เป็นรากฐานสำคัญของโครงสร้างเพจที่น่าเชื่อถือ ดูเป็นมืออาชีพ ทำให้เพิ่มโอกาสขายสินค้ามากขึ้น โดยองค์ประกอบที่ควรมีได้แก่ logo ที่สะดุดตา, banner ที่น่าสนใจ, การแนะนำตัวบริษัท, แสดงช่องทางการติดต่อ, เว็บปลายทางเป็นลิ้ง เพื่อให้ง่ายต่อการใช้ของลูกค้า จะเป็น วิเคราะห์บอลวันนี้ เว็บหวย สุขภาพ ก็ตามแต่, เพิ่มหมวดสารบัญของสินค้าที่พร้อมจำหน่าย, บอกถึงมาตรการรักษาความลับของลูกค้า ฯลฯ เหล่านี้ เมื่อแสดงไว้ใน Facebook จะส่งผลต่อคะแนน SEO ที่ดียิ่งขึ้น

เพิ่มยอดขายได้ตลอดเวลา

ปัจจุบันผู้คนใช้อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลตลอดเวลา 24 ชั่วโมง การที่อันดับ facebook SEO สูงขึ้น จากการใส่ใจรายละเอียดทั้ง on-page และ off-pafe SEO จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้าถึงเพจได้มากขึ้น ทำให้มียอดการสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการไม่ทำ SEO และหากเป็นเพจภาษาต่างประเทศก็จะเข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้ทั่วโลก ซึ่งย่อมมียอดขายหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเพจภาษาไทย

Facebook มีความสำคัญสำหรับการขายสินค้าที่เน้นกลุ่มคนไทยที่ใช้งาน facebook เป็นประจำ ทำให้ร้านค้าได้ประโยชน์ทั้งยอดขาย มีชื่อเสียง ได้รับความเชื่อถือในวงกว้าง ฯลฯ เมื่อทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ ก็มั่นใจได้ว่าสามารถเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นได้แม้จะมีคู่แข่งจำนวนมากในโลกออนไลน์ก็ตาม

กลยุทธ์ SEO และ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

กลยุทธ์ SEO และ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

กลยุทธ์การโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาใน Google มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบที่ได้รับความนิยมและมักจะมาคู่กันคือ SEO และ SEM มาดูคำตอบกันว่าการทำตลาดทั้งสองแบบคืออะไรและมีความแตกต่างกันอย่างไร

1.การทำ SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือการใช้เทคนิคปรับแต่งเว็บไซต์หรือเนื้อหาของสื่อที่ลงในโซเชียลมีเดียรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแทรกคีย์เวิร์ดที่เป็นคำค้นหายอดนิยม หรือการเขียนบทความให้ได้รับการจัดอันดับที่ดีจาก Goolge รวมไปถึงการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย เลือกรูปภาพและคลิปวิดีโอที่มีขนาดพอเหมาะซึ่งมีผลต่อการปรับแต่งเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว ตลอดจนการสร้างลิงก์คุณภาพย้อนกลับมายังเว็บไซต์ วิธีการเหล่านี้เป็นเครื่องมือโปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้ Google 

2.การทำ SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing คือเทคนิคการตลาดรูปแบบหนึ่งที่มีการจ่ายเงินซื้อโฆษณาบน Google โดยเรียกเก็บเงินตามจำนวนคลิก หรือ Pay Per Click ซึ่งหมายถึงการจ่ายค่าโฆษณาตามอัตราการคลิกที่เกิดขึ้น โดยคิดค่าโฆษณาจากการคลิกคีย์เวิร์ดที่ประมูลได้ เช่น เว็บไซต์ลงโฆษณาโดยใช้คีย์เวิร์ดว่ารองเท้าเด็ก กำหนดราคาคลิกละ 5 บาท เมื่อเว็บไซต์ลงโฆษณาและมีคนคลิกเข้ามา เจ้าของเว็บไซต์ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาให้ Google คลิกละ 5 บาท แต่ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาก็ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ถ้าคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันสูงหมายถึงอัตราการประมูลต่อคลิกจะแพงขึ้นด้วย

เห็นได้ว่าการทำ SEO และ SEM มีความแตกต่างกัน ถ้าจะเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียจะสรุปโดยย่อให้ดังนี้

-การทำ SEO มีข้อดีในด้านความประหยัดต้นทุน เพราะไม่เสียค่าโฆษณาและไม่เสียค่าคลิก เหมาะสำหรับธุรกิจใหม่ที่ยังมีงบประมาณไม่มากนัก ข้อเสียคือใช้เวลามากในการทำให้เว็บไซต์ไต่อันดับขึ้นมาและต้องทำ SEO อย่างต่อเนื่องทำให้มีอัตราการคลิกเข้าชมสูง  นอกจากนี้ยังต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการปรับคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมตลอดเวลา แต่ชดเชยด้วยการแสดงผลตลอด 24 ชั่วโมงและเพิ่มยอดขายต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย

-การทำ SEM มีข้อดีในด้านผลลัพธ์ที่รวดเร็ว โฆษณาวิธีนี้ผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับที่สูงใน Google รวดเร็วใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น สามารถกำหนดวันและช่วงเวลาในการแสดงผล รวมถึงกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้มาเข้าชมได้อย่างเจาะจงมากกว่าการทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย ที่อยู่ ทำให้การโฆษณามีความคล่องตัวจะเปิดหรือปิดเมื่อไรก็ได้ สามารถเก็บข้อมูลคำค้นหาต่าง ๆ และเลือกคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังเลือกใช้คีย์เวิร์ดได้จำนวนมากด้วย ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือมีต้นทุนสูง มีค่าใช้จ่ายต้องเสียค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้น ต้องเพิ่มงบโฆษณาเพื่อให้มียอดคลิกเข้าชมจำนวนมากขึ้น และถ้างบโฆษณาหมดหรือปิดโฆษณาไปแล้ว เว็บไซต์จะไม่แสดงผลบน Google  

ทั้งสองรูปแบบให้ประโยชน์และทำควบคู่กันได้ช่วยให้การทำตลาดออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEM เพื่อเอามาทำ SEO หรือสลับกันคือวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEO เพื่อเอามาทำ SEM ก็ได้ นำมาใส่ในบทความเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากที่สุดนั่นเอง

9 ระบบ AI Algorithm ของ Google ที่สำคัญต่อการทำ SEO

9 ระบบ AI Algorithm ของ Google ที่สำคัญต่อการทำ SEO

AI Algorithm หรือระบบการค้นหาของ Google คือส่วนสำคัญที่สุดสำหรับการทำ SEO เนื่องจาก ทุกครั้งที่เราทำ SEO จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบโดยระบบ AI Algorithm ของ Google เสียก่อน หากเว็บไซต์หรือเนื้อหาของเราผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การทำ SEO ให้ติดอันดับบน Google Search ก็จะง่ายมากยิ่งขึ้น 

ในวันนี้เรามาทำความรู้จัก AI Algorithm ของ Google แต่ละ Bot กัน เพื่อให้เราได้ทราบว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ หากอยากให้ SEO ของเราติดอันดับต้น ๆ 

1.Panda 

ระบบตรวจสอบการคัดลอกเนื้อหา ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดอันดับของเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพตลอดจนเว็บไซต์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้เข้าชมให้หายออกไปจาก Google ด้วยเหตุนี้คุณภาพของเนื้อหาสำนวนที่ใช้ รวมไปถึง แหล่งข้อมูล จึงต้องมีความน่าเชื่อถือทั้งหมด 

2.Penguin 

ระบบเพนกวิน คือระบบตรวจสอบ Backlink ที่เรานำมาใช้ว่ามีคุณภาพ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเนื้อหามากน้อยเพียงใด ตลอดจนความน่าเชื่อถือของ Backlink ซึ่งส่งผลการต่ออันดับ SEO โดยตรง

3.Pirate

ระบบที่คอยตรวจสอบมาตรฐานและการละเมิดลิขสิทธิ์ของเนื้อหา รูปภาพ และทุกสิ่งที่เรานำมาใช้งานภายในเว็บไซต์ ซึ่งหากตรวจพบการละเมิดลิขสิทธิ์ เว็บไซต์ของเราก็จะถูกลดระดับการมองเห็นลงในทันที

4.Hummingbird

นกฮัมมิ่งเบิร์ดคือระบบตรวจสอบการใช้ Keyword ล่วงหน้า ที่จะแสดงผลให้เราได้เห็นจากช่องการค้นหาบน Google เพื่อประมวลผลให้เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง ปรากฎในระบบการค้นหาของเรานั่นเอง

5.Pigeon

ระบบจัดอันดับสิ่งที่ผู้คนค้นหาตามพื้นที่ต่าง ๆ มากที่สุด ซึ่งพิราบจะแสดงหน้า เพจและเว็บไซต์ ของ ร้านค้า หรือบริการที่ผู้คนสนใจมากที่สุด ขึ้นให้ผู้ค้นหาได้เห็นเป็นอันดับแรก

6.Mobile Friendly Update

ระบบนี้ทำงานคล้ายกับระบบพิราบ เพียงแต่ระบบ Mobile Friendly จะจัดอันดับร้านค้า หรือบริการจากสถิติการค้นหาผ่าน Google Search บนโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

7.RankBrain

ระบบการค้นหากลุ่มคำ เพื่อคัดกรองเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงตามความต้องการของผู้ค้นหา โดยระบบจะประมวลผลจากเนื้อหาภายในบทความที่เรานำมาลงบนเว็บไซต์ หากมีคำที่ตรงหรือสอดคล้องกับคำที่ใช้ค้นหา เว็บไซต์นั้น ๆ ก็จะติดอันดับต้น ๆ ของ SEO 

8.Possum

ระบบนี้ทำงานเกี่ยวกับการจัดเตรียมและแสดงข้อมูลเฉพาะร้านค้าหรือบริการที่อยู่ใกล้เคียงผู้ค้นหา เพื่อให้ร้านค้าและบริการเหล่านั้นขึ้น SEO อันดับต้น ๆ 

9.Fred

คือระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาล่าสุด เพื่อตอบตรวจสอบเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพ ตลอดจนประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ เพื่อจัดอันดับให้อยู่ 1-3 ของระบบการมองเห็นบน Google นั่นเอง 

แม้ว่าการทำ SEO ให้ได้ประสิทธิภาพนั้น จะต้องผ่านการตรวจสอบมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากเราสามารถทำตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ เว็บไซต์ของเราก็จะติดอันดับต้น ๆ ของ SEO ได้นานมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นข้อได้เปรียบและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของเราได้อีกด้วย

ชี้ 5 ข้อดีของการทำ SEO สายเทา

ชี้ 5 ข้อดีของการทำ SEO

แน่นอนว่าการปรับตัวในการทำธุรกิจนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ SEO “สายเทา” และปรับเปลี่ยนในการทำการตลาดออนไลน์ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะคุ้นหูคุ้นตากันเป็นอย่างดีในเรื่องของการรับลงโฆษณานั่นเอง ส่วนการเรียนรู้และการศึกษาก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยให้เข้าถึงบริบทในการรับลงโฆษณา

1. “ใช้งบประมาณน้อยกับผลลัพธ์นั้นเกินคุ้ม” : เงินลงทุนคือสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบจะจัดระเบียบและวางแผนให้เป็นอย่างดี รวมถึงส่วนการโฆษณาทำการตลาดทางโลกออนไลน์ ถ้าหากเปรียบเทียบกับการลงสื่ออื่นๆ ก็คือ หนังสือพิมพ์หรือป้ายโฆษณาต่างๆแล้วใช้การรับโปรโมทเว็บ ซึ่งเฟสบุ๊คนั้นจะมีการลงทุนที่ใช้เงินน้อยกว่า และได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า สามารถนำเงินทุนและกำไรไปต่อยอดได้มากกว่าเดิม เพราะคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้เวลาอยู่กับโลกออนไลน์ ที่ไร้ขีดจำกัดรอบด้านทั้งสถานที่และช่วงเวลา จึงยกให้สื่อออนไลน์มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนี้

2. “เข้าถึงง่ายและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย” : เว็บไซต์และเฟสบุ๊คในยุคสมัยนี้สามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงกันได้ง่าย ซึ่งเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลแก่ผู้คนมากมายที่ให้ความสนใจและล็อคอิน เพื่อติดตามข่าวสารทุกวันแบบรอบด้าน ทำให้บริหารจัดการและกระจายสื่อให้ผู้รับรู้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถจำกัดและครอบคลุมเป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยมด้วย

3. “การดำเนินการที่ง่ายและสะดวกสบาย” : การใช้บริการรับลงโฆษณานั้นสามารถดำเนินการต่างๆ ได้อย่างง่าย แถมยังประหยัดเวลาและสะดวกรวดเร็วอีกด้วย แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องมีการแจกโบรชัวร์หรือโปรโมทผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งแปะโฆษณาตามฝ่าผนังริมทางเดิน อย่างว่ายุคสมัยนี้สามารถโปรโมทเว็บผ่านทางออนไลน์ได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังสามารถอัปเดตข้อมูลได้ด้วยตนเอง โดยใช้เวลาไม่นาน

4. “เห็นผลรวดเร็ว Backlink สายเทา” : เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อผ่านโลกออนไลน์ ถึงทำให้สิ่งที่ต้องการนำเสนอนั้นเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังมีการรับลงโฆษณาด้วย โดยกลุ่มเป้าหมายนั้นมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ถือว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมและวางแผนจัดการได้โดยตัวเอง เพื่อกระตุ้นยอดและทำให้เว็บเป็นที่รู้จักมากขึ้น

5. “เพิ่มลูกค้าได้อย่างยั่งยืน” : ผู้คนสามารถค้นหาและติดตามเว็บไซต์ได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น เป็นเว็บแทงบอลออนไลน์ โดยในเว็บนั้นมีทั้งให้ทีเด็ดบอลเต็ง, บอลสเต็ป และวิเคราะห์บอล เมื่อมีคนเสิร์ช คำว่า “วิเคราะห์บอล” ใน Google ซึ่งการทำ SEO จะช่วยผลักดันให้เว็บแทงบอลออนไลน์ของคุณขึ้นมาอยู่ที่หน้าแรกของการเสิร์ช ทำให้เว็บหรือธุรกิจของคุณกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและดึงดูดผู้คนที่เสิร์ชเป็นอันดับต้นๆ

นอกจากนี้ยังทำได้อีกหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างหรือใช้บริการบริษัทที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดออนไลน์และรับลงโฆษณาสายเทา แต่อย่าลืมว่านำเสนอคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพก็เป็นส่วนสำคัญให้การดึงดูดกลุ่มลูกค้า อาทิเช่น การนำเสนอวิดีโอ, รูปถ่าย, และบทความหรือคอนเท้นต์อื่นๆ ที่จะทำให้เกิดความน่าสนใจ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในเพิ่มมูลค่าให้กับเว็บ

SEO มีกี่แบบ พร้อมหลักการทำงานเพื่อให้เว็บไซต์เติบโต

SEO มีกี่แบบ พร้อมหลักการทำงานเพื่อให้เว็บไซต์เติบโต

จุดประสงค์หลักของการทำเว็บไซต์คือต้องการให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ตนเองทำ ยิ่งเป็นเว็บไซต์ธุรกิจด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสในการเติบโตมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย, เงินโฆษณาและอื่น ๆ อีกมาก จึงเป็นที่มาของการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง google นั่นเอง

SEO มีกี่ประเภท

SEO โดยหลัก ๆ จะมีด้วยกัน 3 ประเภท ซึ่งทั้ง 3 ประเภทก็มีวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือทำอย่างไรให้คนรู้จักและเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้มากที่สุด

1.SEO- On Page

SEO On Page คือการปรับแต่ง หน้าตาของเว็บไซต์ให้ google เป็นที่รู้จักหรือค้นหาได้โดยง่าย วิธีการทำหลัก ๆ คือจะต้องทำตามที่ google กำหนดหรือตรงตามกฎที่ระบุไว้ เชื่อว่าคนท่องโลกอินเทอร์เน็ตมากกว่า 80-90% นิยมใช้ google เป็น Search Engine หรือใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหามากที่สุด 

2.SEO- Off Page 

SEO-Off Page คือการอาศัยเทคนิคจากภายนอก เพื่อสร้างการค้นหาให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น เทคนิคการทำ Backlink 

3.Technical SEO

Technical SEO คือ SEO ที่มีเทคนิคและวิธีการทำนอกเหนือไปจาก SEO-On Page และ SEO-Off Page เช่น SEO Friendly, แผนผัง XML, การสร้างเว็บไซต์ให้รองรับทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เคลื่อนที่ เป็นต้น

หลักการทำงานของ SEO เพื่อการเติบโตของเว็บไซต์

เว็บไซต์คุณภาพ

เว็บไซต์ที่ดีควรมีคุณภาพ ทั้งในเรื่องของเนื้อหา keyword มีความปลอดภัย สามารถใช้งานได้ดีทุกระบบปฏิบัติการทั้ง windows, iOS และ Android โหลดเร็ว ซึ่งทาง google จะมีวิธีในการประเมินและให้คะแนนเพื่อจัดลำดับ Ranking ของเว็บไซต์ โดยยึดหลักตามกฎหรือข้อกำหนดที่ทาง google กำหนดมา

1.ดึงดูดคนเข้าเว็บไซต์

เมื่อเว็บไซต์ที่ทำการสร้างมามีคุณภาพเป็นที่รู้จัก ก็จะช่วยในการดึงดูดเข้าเว็บไซต์จำนวนมากได้ อาจใช้วิธีการทำ backlink เพื่อไปยังเว็บไซต์ที่ถูกกล่าวถึง เพื่อสร้าง Traffic จำนวนมาก

2.คอนเทนต์ดี มีประโยชน์

หลักการค้นหาของ google คือ การประมวลผลหาผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานหรือการค้นหาข้อมูลที่ดีมีคุณภาพ สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้งาน เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับการทำปุ๋ย เว็บไซต์ก็ควรจะมีขั้นตอนหรือวิธีการใช้ปุ๋ย ผลลัพธ์ของการใช้ปุ๋ย ประโยชน์ของปุ๋ย เป็นต้น การเลือกใช้ keyword ที่ตรงกับเนื้อหารวมไปถึงการใส่ keyword ให้เหมาะสม ไม่เยอะเกินไป ดูให้เป็นธรรมชาติ ไม่ยัดคีย์ เพราะการที่ใส่คีย์เวิร์ดจนเยอะเกินไปอาจทำให้ google มองเป็นการ spam อาจส่งผลให้เกิดการแบนหรือลดการมองเห็นจาก google ได้

หากเรารู้ถึงวิธีการทำ SEO แล้ว อย่าลืมที่จะสร้างเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎของเครื่องมือในการค้นหายอดนิยมอย่าง google ให้ดี เพราะมิเช่นนั้นแล้วนอกจากอันดับเว็บไซต์จะไม่อยู่ในลำดับที่ดีแล้ว อาจโดนทาง google แบนหรือปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ 

5 เทคนิคสร้าง SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

5 เทคนิคสร้าง SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

ใครที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็คงอยากให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูลผ่าน Google พบหน้าเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก (จริงไหมคะ) การสร้างเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกบน Google จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะเราทุกคนต่างมีคู่แข่งที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันค้นหา แต่ก็ไม่ยากมากเกินกว่าจะทำได้ ขอเพียงเราเข้าใจเรื่องระบบการสืบค้น หรือการทำ SEO ให้ดี เว็บไซต์ก็จะติดอันดับต้น ๆ ได้ไม่ยากค่ะ

วันนี้เราจึงสรุป 5 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติด SEO บน Google แพลตฟอร์มมาฝากกัน คือ

1.สร้างคีย์เวิร์ด (Keyword) ให้โดนใจ
สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราต้องเลือกให้ดี คือ การใช้คีย์เวิร์ดที่ดี เริ่มต้นจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าว่าเป็นเช่นไร ต้องการสิ่งใด และลูกค้าส่วนใหญ่จะพิมพ์ค้นหาด้วยการใช้ประโยคแบบไหน หากเราเข้าใจดีแล้ว การสร้างคีย์เวิร์ดก็จะช่วยให้ระบบการค้นหา SEO บน Google แสดงข้อมูลเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ

2.Backlink ต้องน่าเชื่อถือ
ความน่าเชื่อถือของลิงก์ที่เรานำมาใช้จะต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง รวมถึงการแชร์เนื้อหาออกไปยังสื่อต่าง ๆ ก็ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เขียนด้วยเช่นกัน การเลือกใช้ Backlink จึงไม่เพียงช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการและอ่านข้อมูลบนเว็บไซต์มากขึ้นด้วย

3.ออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจ
ในยุคปัจจุบัน Google ให้ความสนใจในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์เป็นอย่างมาก เพราะผู้ใช้งานร้อยละ 90% ที่เข้าสู่เว็บไซต์หนึ่ง ๆ มักต้องการข้อมูลครบถ้วน รวดเร็ว ตลอดจนประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากการใช้งาน การออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของระบบการค้นหา SEO

4.บทความดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
เนื้อหาข้อมูลที่นำมาลงในเว็บไซต์จะต้องชัดเจนและเกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ทั้งนี้การเขียนเนื้อหายังต้องเพิ่มคีย์เวิร์ดที่ดีแทรกลงไป เพื่อให้เข้าถึงผู้คนที่สนใจบทความดังกล่าวด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การอัปเดตข้อมูลให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ เพียงเท่านี้หน้าเว็บไซต์ก็จะขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ แล้ว

5.ใช้สื่อโซเชียล (Social Media) ให้เกิดประโยชน์
การใช้สื่อโซเชียลมีส่วนสำคัญมากถึง 90% ดังที่เราแนะนำไปข้างต้นว่า ในแต่ละบทความที่เราเขียนนั้นจำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ด รวมถึง Backlink ที่เกี่ยวข้องใส่ไว้เสมอ เพื่อให้ทุกครั้งที่มีการแชร์ ผู้ใช้งานก็จะพบเห็นบทความของเราได้มากขึ้น ตลอดจนการเข้าถึงเว็บไซต์ก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเช่นกัน

เราหวังว่า 5 เทคนิคที่นำมาแบ่งปัน จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การทำ SEO ไม่ใช่เพียงแค่ว่าทำวันนี้แล้วจะได้ผลทันที แต่การทำให้ต่อเนื่องหากจึงจะแสดงผลลัพธ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ทำไมถึงต้องทำเว็บไซต์ SEO

ทำไมถึงต้องทำเว็บไซต์ SEO

ในโลกยุคปัจจุบัน การทำธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารกับลูกค้าธุรกิจได้ทั่วโลก การมีเว็บไซต์ของตัวเองเป็นช่องทางในการขยายธุรกิจที่ไม่จำกัด และก็ควรทำ SEO (search engine optimization) ด้วย จะทำให้ได้รับประโยชน์ ดังต่อไปนี้

  1. ถูกจัดอันดับอยู่ด้านบนในการสืบค้นของ Google

การทำเว็บไซต์ตามรูปแบบ SEO ทำให้ได้คะแนนการตรวจวิเคราะห์คุณภาพที่สูง สื่อถึงการเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน และเนื่องจาก Google ต้องการให้ผู้ใช้งานทั่วโลกมาสืบค้นข้อมูลจากระบบตัวเอง ซึ่งต้องแข่งขันกับ yahoo และ bing ทุกวัน การเรียงเว็บไซต์จากคะแนน SEO จึงทำให้คนมาใช้ Google มากขึ้นทุกวัน ถ้าคุณทำเว็บไซต์ SEO ที่ดี Google ก็จะให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับต้น ๆ และถูกค้นหาเจอได้ง่ายนั่นเอง หากคุณต้องการทำเว็บไซต์ให้ติดคำว่า วิเคราะห์บอลวันนี้ หวังคนเข้าวันละ 1000 คนต่อวัน ถ้าค่าโฆษณาคลิกละ 10 บาท เท่ากับวันนึงต้องเสียเงิน 10000 บาททุกๆวัน แต่ถ้าเว็บคุณติดอันดับ 1 แล้วละก็ไม่ต้องเสียสักบาท

  1. ขยายโอกาสทางธุรกิจ

เว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับที่ 1 จะมีโอกาสขายสินค้าและบริการมากกว่าอันดับที่ 2 หลายเท่าตัว ส่วนอันดับที่ 2-10 ก็จะได้ส่วนแบ่งการตลาดลดลงไปเรื่อย ๆ หากทำ SEO จนได้อยู่ในหน้าแรกของการสืบค้น 10 อันดับแรกของการแสดงผลบนจอ Google ก็มีโอกาสที่จะได้รับการเข้าไปชมข้อมูล สั่งซื้อสินค้าบริการด้วยความไว้วางใจจากลูกค้าที่มากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในหน้าหลัง ๆ หากคุณต้องการขยายตลาดบนโลกออนไลน์ เพิ่มโอกาสให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าทุกวัน ก็ต้องทำตามรูปแบบ SEO อย่างเคร่งครัด

  1. ประหยัดต้นทุนการโฆษณา

SEO เป็นการใช้คุณภาพของเว็บไซต์ในการผลักดันให้อยู่อันดับต้น ๆ ต่างกับการเสียค่าโฆษณาแบบ SEM หรือ search engine marketing ที่ต้องประมูล keyword แข่งขันกับบริษัทอื่น ๆ ที่ล้วนต้องการอันดับที่ 1 ของหน้าจอการสืบค้นใน Google หากคุณทำธุรกิจที่เป็น Red Ocean อัตราการแข่งขันสูง ก็หมายความว่าคุณต้องใช้เงินในการประมูลที่สูง และต้องเสียค่าโฆษณาต่ออัตราการคลิก 1 ครั้งของผู้เข้าชมที่สูงตามไปด้วย ทำให้คุณมีต้นทุนทางธุรกิจที่มากขึ้น

  1. เพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์

ความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญ ตามหลักจิตวิทยาแล้ว หากเว็บไซต์ถูกแสดงในหน้าแรกอันดับต้น ๆ ของ google ผู้คนจะเชื่อมั่นมากกว่า ว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่หลอกลวง หากสั่งสินค้าก็ต้องได้ของจริงมีคุณภาพสูง หากอ่านบทความก็ต้องมีความน่าเชื่อถือและบอกต่อได้ ไม่เป็นข่าวหรือข้อมูลปลอม ดังนั้นการทำ SEO ให้เว็บไซต์ จึงเป็นตัวช่วยสร้างอันดับและความน่าเชื่อถือแก่แบรนด์อย่างมาก

เว็บไซต์ที่ทำ SEO จะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าเว็บไซต์ที่ทำอย่างไม่มีทิศทาง เป็นที่ถูกใจของ Google และถูกใจลูกค้าที่ใช้งานสืบค้นข้อมูล เพิ่มยอดสั่งซื้อสินค้า ลดต้นทุนทางธุรกิจ ที่กล่าวมาจึงยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ทำไมคุณจึงควรทำเว็บไซต์ SEO

เพิ่มยอดขายให้ปัง !!! ด้วย SEO

เพิ่มยอดขายให้ปัง !!! ด้วย SEO

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการต่างมองหาความได้เปรียบในทุกรูปแบบเพื่อจูงใจให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าและบริการของตนเอง การเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น คุณรู้หรือไม่ว่าในโลกออนไลน์มีวิธีในการช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินค้าและบริการให้กับสินค้าของคุณได้ด้วยการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ซึ่งเป็นการตลาดออนไลน์อย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำถึงวิธีการเพิ่มยอดขายให้ปัง!!! ด้วย SEO มาบอกกัน…

SEO คืออะไร
SEO หรือ Search Engine Optimization เรียกให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การทำให้เว็บไซต์สินค้าและบริการของคุณอยู่ในลำดับต้น ๆ หรืออยู่ในหน้าแรกของการค้นหาผ่าน Search Engine เช่น Google, Yahoo ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น โดยการทำ SEO นั้นจะเป็นการจัดรูปแบบเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสม ให้ดึงดูดน่าสนใจ มีการใส่ keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป มีเนื้อหาในเว็บไซต์สอดคล้องกับสินค้าและบริการ มีภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวประกอบบทความ มีมากกว่า 1 หน้าต่อเว็บไซต์เพื่อเป็นการจัดกลุ่มเนื้อหาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ฯลฯ โดยเจ้าของ Search Engine จะมีการให้คะแนนเว็บไซต์ในแต่ละจุดเพื่อจัดลำดับในหน้า Search Engine ต่อไป

SEO จะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร
ประโยชน์หลัก ๆ จากการทำ SEO คือการเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของสินค้าและบริการของคุณ ซึ่งในแต่ละวันมีคนเข้า Search Engine เพื่อค้นหาสิ่งที่สนใจจะเลือกซื้อหลายล้านครั้งต่อวัน และต้องยอมรับว่าในโลกธุรกิจย่อมมีสินค้าและบริการที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกับสินค้าของคุณอย่างแน่นอน ดังนั้น หากเว็บไซต์ของคุณได้อยู่ในหน้าแรก หรืออันดับต้น ๆ ของการ Search ย่อมทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับความสนใจ และมีโอกาสที่คนจะเข้าชมมากขึ้นและเลือกซื้อสินค้าต่อไป

นอกจากนี้ การทำ SEO ที่ดีจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและตรงจุดมากขึ้น สามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ในการจัดจำหน่าย และยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าและบริการของคุณ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเลือกซื้อสินค้าที่สำคัญอย่างหนึ่งอีกด้วย

แม้ว่าการทำ SEO จะมีข้อดีมากมาย เป็นเสมือนเครื่องมือทางการตลาดที่คนทำธุรกิจในยุคใหม่ต้องเรียนรู้และไม่ควรมองข้าม แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ เพราะคุณจะต้องทำการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ทันสมัย ข้อมูลมีการอัพเดตอยู่เสมอ เพราะหากคุณปล่อยปละละเลยไม่มีการอัพเดตข้อมูล เว็บไซต์ของคุณก็อาจถูกเลื่อนลำดับไปอยู่หน้าอื่น ๆ ได้เช่นกัน

5 ข้อควรระวังในการทำ SEO Content

5 ข้อควรระวังในการทำ SEO Content

SEO Content อาจเป็นคำที่คุ้นหูสำหรับผู้ที่ทำการตลาดออนไลน์ แต่สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้น อาจต้องทำความรู้จักกับ SEO Content ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำการตลาดออนไลน์ให้มากขึ้น SEO มาจากคำว่า Search engine optimization ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพให้เว็บไซต์ ถูกค้นพบด้วย Search Engine ต่าง ๆ อย่าง Google, Bing , Yahoo , Ask และ Baidu เป็นต้น โดยใช้ Keyword Content เป็นอาวุธซึ่ง Content ที่ว่านี้ค่ะภาพรวมของเนื้อหา เช่น ภาพ ตัวอักษร วีดีโอ รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ใส่ไว้ในบทความ ด้วยรายละเอียดเหล่านี้จึงเป็นที่มาของข้อควรระวังในการทำ SEO Content ซึ่งมี 5 ข้อพึงระวัง ดังต่อไปนี้

1.ระวังไม่ให้ Content ขาดสารประโยชน์
เพื่อพื้นฐานสำคัญในการทำ SEO ในช่วงเวลานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่เนื้อหาต้องมีประโยชน์ เพราะหาก Content นั้น ๆ มีข้อมูลและสารประโยชน์ต่อผู้อ่านก็จะเกิดการแชร์ต่อ ๆ กันไป และบางคนก็กลับมาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งทำให้เกิดการคลิกเข้ามาสู่เพจบ่อยขึ้น สิ่งนี้จะกระตุ้นให้อัลกอริธึมของ Google จัดอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นด้วย

2.ระวังเรื่อง Keywords
ซึ่งเป็นหัวใจหลักของบทความ โดยหลักการทำ SEO นั้นสามารถใส่ Keyword ได้ 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Broad, Broad Match Modifier, Phrase และ Exact โดยแต่ละประเภทมีการทำงานที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น Broad หมายถึงคีย์เวิร์ดประเภท “กว้าง ๆ” โดยโฆษณาของเว็บไซต์จะแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับ Keyword ใส่ และคำที่ใกล้เคียงกับ Keyword ที่ใส่ลงไปในบทความ รวมถึงคำค้นหาที่ใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดนั้นด้วย เช่น Keyword คือคำว่า ‘รองเท้าผู้ชาย’ กรณีที่มีผู้ค้นหาด้วยคำว่า ‘รองเท้าผู้ชาย’ หรือ ‘รองเท้าแตะผู้ชาย’ Ad โฆษณาของเว็บไซต์ของคุณก็จะแสดงผลใน Search Engine ด้วยเช่นกัน

3.ระวังเรื่องความถี่ในการอัพเดท
สิ่งสำคัญสำหรับเว็บเพจจำหน่ายสินค้าออนไลน์ คือการอัพเดทข่าวสารข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำเสนอ Content ที่มีประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งหากขาดการอัพเดทข้อมูลของผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการ หรือรูปแบบกิจกรรมใหม่ ๆ ให้เคลื่อนไหวในระบบออนไลน์ Content ก็จะไม่ได้รับการพัฒนาให้ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และไม่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการแรงกระตุ้นจากกกระแสโซเชียลดึงดูดเพื่อการตัดสินใจในการซื้อสินค้าและบริการเหล่านั้น

4.ระวังเรื่องจำนวนของภาพและคลิปวีดิโอ
หากภาพ หรือคลิปวิดีโอมีจำนวนมากเกินไปจะส่งผลให้การโหลดเข้าสู่เว็บไซต์ทำได้ช้า ซึ่งเท่ากับเป็นการเสียโอกาสในการค้นหาและการเข้าสู่เว็บไซต์ เพราะผู้บริโภคมีเวลาตัดสินใจไม่มากนักประกอบกับมีเว็บไซต์ของคู่แข่งให้เลือกชมอีกเป็นจำนวนมากนั่นเอง

5.ระวังเรื่อง Copy & Paste
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ SEO Content ขาดความน่าสนใจและตกอันดับจากหน้าเพจแรกของ Google ได้แก่ กรณีการทำ Copy&Paste นอกจากจะได้เนื้อหาที่ไม่เชื่อมต่อแล้ว ยังอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณหลุดจากอันดับต้น ๆ ในเพจแรกของ Google ได้แบบไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น การสร้าง SEO Content ที่มีประโยชน์และอัพเดทข่าวสารข้อมูลให้ผู้บริโภคได้ติดตามเพื่อการเข้าถึงเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันรูปแบบ Organic Reach แม้ว่าจะดูเรียบง่ายซึ่งมีข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าในระยะยาวนั้นการทำ SEO Content ให้มีคุณภาพตามแนวทางข้างต้นจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเสริมประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์เพื่ออยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาในหน้าแรกของ Search Engine