ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization คือเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเพราะมีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเจอธุรกิจคุณง่ายขึ้น ทำให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก เพิ่มความน่าเชื่อถือ รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย และแม้ว่าหลายธุรกิจเลือกทำ SEO ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ในการดูแลและหากลยุทธ์ผลักดันให้เว็บไซต์ไต่ขึ้นหน้าแรกผลการค้นหา แต่เพราะปัจจุบันมีบริษัทจำนวนมากรับทำ SEO แต่จะเลือกอย่างไรและต้องพิจารณาอะไรบ้างเพื่อให้ได้ร่วมงานกับบริษัทรับทำ SEO ที่เจ๋งจริงและทำให้ธุรกิจของคุณโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

1. มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

การทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยบริษัทที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เนื่องจากระบบหลังบ้านของ Search Engine มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนเสมอ ซึ่งบริษัทรับทำ SEO ต้องตามให้ทัน เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีเครื่องมือทำ SEO ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเครื่องมือเกิดใหม่มักมาพร้อมฟีเจอร์น่าสนใจ ซึ่งหากบริษัท SEO หมั่นอัปเดตเทรนด์และหาความรู้ใหม่เสมอ ย่อมสร้างความได้เปรียบในการทำ SEO

2. ราคาสมเหตุสมผล

ด้วยความที่ SEO เป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีบริษัทรับทำ SEO เกิดขึ้นจำนวนมาก การตัดราคาหรือนำเสนอราคาที่ถูกที่สุดจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากพบว่าบริษัทใดนำเสนอราคาถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดก็อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือก เพราะบางครั้งราคาถูกมาพร้อมคุณภาพที่ลดลงตามราคา ซึ่งหากเจอบริษัทใดราคาถูกมา ๆ แนะนำให้คุยรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงขอดูผลงานเก่าเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าตัดสินใจเลือกบริษัทไม่ผิด 

3. บริษัทที่เป็นมิตร จริงใจ และให้คำปรึกษา

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี คือบริษัทที่เลือกควรมีความจริงใจ เข้าใจความต้องการลูกค้า และเข้าใจเป้าหมายการทำ SEO ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสังเกตได้ตั้งแต่ขั้นตอนการคุยรายละเอียด บริษัทรับทำ SEO ที่ดีควรให้คำแนะนำ อธิบายขั้นตอนและวางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญต้องจริงใจ มีการทำสัญญาและระบุรายละเอียดการทำงานอย่างครบถ้วน โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

การว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ให้ดูแลและวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจคุณ เปรียบเสมือนการส่งมอบหน้าที่สำคัญให้กับบุคคลอื่น เพราะ SEO คือเครื่องมือสำคัญยิ่งในการทำการตลาดออนไลน์ บริษัทรับทำ SEO จึงมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ทะยานสู่อันดับต้น ๆ เพราะฉะนั้นท่านเจ้าของธุรกิจจึงควรพิจารณาให้ดีว่าบริษัทที่เลือกมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญมากเพียงใด เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนว่าจ้างและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการทำการตลาดอีกด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

Search Engine คือเครื่องมือสำหรับค้นหาเนื้อและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการ เปรียบเสมือนห้องสมุดที่เก็บเรื่องราวต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซด์ และเนื้อหาต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยผู้สนใจที่ต้องการค้นหาข้อมูลก็สามารถพิมพ์คำหลักในแถบค้นหา จากนั้นอัลกอริทึม (Algorithm) จะทำการค้นหาในคลังข้อมูลด้วยซอฟแวร์เครื่องมือที่เรียกว่า Web Crawler หรือ Web Spider หรือ Web Robot ซึ่งมีเส้นใยเครือข่ายโยงไปมา จากนั้นก็จะดึงเอาลิ้งก์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำค้นหานั้นออกมาแสดงบนหน้าแสดงผลการค้นหา เรียกว่า Search Engine Results Pages (SERPs) ส่วนการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือการเพิ่มประสิทธิภาพของการค้นหา มีบทบาทสำคัญในการทำให้เว็บไซด์หรือเพจของคุณได้รับการจัดอันดับการค้นหาในอันดับต้น ๆ ของ SERPs เป็นการเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะค้นพบธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น

AI หรือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความฉลาดเหมือน (หรืออาจจะเหนือกว่า) มนุษย์ เพราะสามารถทำงาน ตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาบางอย่างได้ด้วยตนเองเหมือนมนุษย์ ในปัจจุบันมีการนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์บริการ และ Application ต่าง ๆ รวมถึงการทำงานของ Search engine อย่าง Google ด้วย ในปัจจุบันความสามารถของ AI มีความเฉพาะเจาะจงเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น AI ในรถยนต์จะทำหน้าที่ควบคุมการขับรถเพียงอย่างเดียว ในกรณีหุ่นยนต์ก็จะกำหนดแค่เฉพาะการรับคำสั่งเท่านั้น อย่างในกรณีของ Search Engine AI ก็จะทำหน้าที่ประมวลผลจากคำค้นหาที่ผู้ใช้งานระบุ เพื่อค้นหาลิงค์ที่มีบทความ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ ได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานให้มากที่สุดนั่นเอง

โดย AI ที่มีผลต่อ SEO มากที่สุดในปัจจุบันคือ Rank Brain ของ Google เลย เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดอันดับคุณภาพของเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อคัดเนื้อหาที่จะเเสดงให้ผู้ใช้งานเห็น สามารถทำงานได้ตลอดเวลาไม่มีวันเหนื่อย หรือหยุดพัก เรียกว่า Rank Brain สามารถทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง รองรับทุก ๆ บทความ SEO ที่เพิ่มได้ตลอดเวลาจากทั่วทุกมุมโลก กล่าวได้ว่าการทำงานของ AI นี้จึงเกี่ยวข้องกับ SEO โดยตรง ดังนั้นการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการขึ้นอันดับการค้นหาเป็นลำดับต้น ๆ ได้จริงจึงต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับ Algorithm นี้ให้ดีด้วย

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ AI-ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น อย่าง

– Market Brew เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยวิเคราะห์เหตุผลในการจัดอันดับของเว็บไซต์ หรือผลลัพธ์ของเครื่องมือการค้นหา (SERPs) ช่วยให้สามารถปรับแผนการทำ SEO ได้ดีขึ้น

– Publicity.ai AI ที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่ง และรูปแบบการตลาดของผู้ประกอบการ ทำให้สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำตลาด เป็นการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และแสดงผลลัพธ์ในทุก ๆ ครั้งที่ีมีความคืบหน้าอีกด้วย

– SEMrush เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยวิเคราะห์ผลการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับการทำ SEO อย่าง Keyword, การทำ Domain และรายงานผลการค้นหา Keyword Magic Tool ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายและสะดวกมากขึ้น

เพราะความก้าวหน้าหน้าและพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจรูปแบบการทำงานด้านเทคโนโลยีอย่าง AI จึงถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อการทำ SEO ทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วควรทำแบบไหนดี

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วควรทำแบบไหนดี

ในยุคที่การทำธุรกิจมุ่งเข้าสู่การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมาก เนื่องด้วยในปัจจุบันผู้คนต่างค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจผ่านระบบ search engine หากเว็บไซต์ของเราสามารถแสดงผลในหน้าแรกของระบบได้ ก็จะทำให้ผู้คนเข้าถึงสินค้าและบริการของเราได้ง่ายขึ้น

การทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ติดหน้าแรกของการค้นหา หลักๆก็จะมีอยู่ 2 แบบ นั่นก็คือการทำ SEO กับ SEM แต่ทั้งสองคำนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรทำการตลาดแบบไหนดี

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร

SEO คือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของการค้นหาโดยไม่ต้องลงโฆษณา ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดมาเป็นช่องทางให้ผู้คนค้นพบเว็บไซต์ของเรา ซึ่งมีวิธีการดังนี้

  1. เลือกคีย์เวิร์ด การทำ SEO นั้น เราจะต้องเลือกคีย์เวิร์ดให้ตรงกับหัวข้อของเรา การเลือกคีย์เวิร์ดนั้นควรเลือกใช้คำที่คาดว่าจะมีผู้ค้นหาผ่าน search engine มาก ซึ่งปัจจุบันมีโปรแกรมที่ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพื่อให้การวิเคราะห์นั้นแม่นยำมากยิ่งขึ้น
  2. การเขียนบทความให้น่าสนใจ เราต้องทำการเขียนบทความให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารกับผู้อ่าน และเนื้อหาในบทความนั้นต้องมีคุณภาพเพียงพอต่อการให้คุณประโยชน์ต่อผู้อ่านด้วยเช่นกัน
  3. การแทรกคีย์เวิร์ดลงในบทความ เมื่อเราเขียนบทความ เทคนิคหนึ่งที่สำคัญคือการแทรกคีย์เวิร์ดลงในส่วนต่างๆของบทความเพื่อให้ผลการค้นหามาพบกับบทความของเรา การแทรกคีย์เวิร์ดควรให้สอดคล้องไปกับเนื้อหาอย่างกลมกลืน และแทรกคีย์เวิร์ดไปตามส่วนต่างๆทั่วทั้งบทความ นอกเหนือจากนั้นใน 1 บทความควรมีมากกว่า 1 คีย์เวิร์ด

SEM คือ Search Engine Marketing คือการทำการตลาดผ่าน search engine ด้วยการซื้อโฆษณา เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกของการค้นหาในทันที โดยการซื้อโฆษณาจะมีลักษณะที่เรียกว่า PPC หรือ Pay Per Click ซึ่งหากมีคนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหา เราก็จะต้องจ่ายค่าโฆษณา คือการจ่ายเมื่อคลิกนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้ได้ผลรวดเร็วแต่ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายจากการประมูลในคีย์เวิร์ดนั้น หากคีย์เวิร์ดที่เราเลือกมีผู้ใช้มาก เราจำเป็นต้องจ่ายค่าประมูลให้มากกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลก่อนเว็บไซต์ของคนอื่น

SEO กับ SEM ควรเลือกแบบไหนดี

จากข้อแตกต่างดังกล่าว ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการเลือกใช้วิธีใด หากเราไม่อยากเสียเงินเพื่อซื้อโฆษณาก็อาจจะเลือกใช้การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราค่อยๆไต่อันดับในการแสดงผลผ่าน search engine แต่ถ้าหากเรามีงบประมาณและต้องการให้เว็บไซต์แสดงผลในหน้าค้นหาทันที ก็เลือกใช้ SEM เพื่อผลที่รวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดแบบ SEO หรือ SEM สิ่งสำคัญคือเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพื่อให้การทำการตลาดออนไลน์ประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืน

กลยุทธ์ SEO และ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

กลยุทธ์ SEO และ SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร

กลยุทธ์การโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาใน Google มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบที่ได้รับความนิยมและมักจะมาคู่กันคือ SEO และ SEM มาดูคำตอบกันว่าการทำตลาดทั้งสองแบบคืออะไรและมีความแตกต่างกันอย่างไร

1.การทำ SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือการใช้เทคนิคปรับแต่งเว็บไซต์หรือเนื้อหาของสื่อที่ลงในโซเชียลมีเดียรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแทรกคีย์เวิร์ดที่เป็นคำค้นหายอดนิยม หรือการเขียนบทความให้ได้รับการจัดอันดับที่ดีจาก Goolge รวมไปถึงการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย เลือกรูปภาพและคลิปวิดีโอที่มีขนาดพอเหมาะซึ่งมีผลต่อการปรับแต่งเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว ตลอดจนการสร้างลิงก์คุณภาพย้อนกลับมายังเว็บไซต์ วิธีการเหล่านี้เป็นเครื่องมือโปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้ Google 

2.การทำ SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing คือเทคนิคการตลาดรูปแบบหนึ่งที่มีการจ่ายเงินซื้อโฆษณาบน Google โดยเรียกเก็บเงินตามจำนวนคลิก หรือ Pay Per Click ซึ่งหมายถึงการจ่ายค่าโฆษณาตามอัตราการคลิกที่เกิดขึ้น โดยคิดค่าโฆษณาจากการคลิกคีย์เวิร์ดที่ประมูลได้ เช่น เว็บไซต์ลงโฆษณาโดยใช้คีย์เวิร์ดว่ารองเท้าเด็ก กำหนดราคาคลิกละ 5 บาท เมื่อเว็บไซต์ลงโฆษณาและมีคนคลิกเข้ามา เจ้าของเว็บไซต์ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาให้ Google คลิกละ 5 บาท แต่ถ้าไม่มีคนคลิกโฆษณาก็ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ถ้าคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันสูงหมายถึงอัตราการประมูลต่อคลิกจะแพงขึ้นด้วย

เห็นได้ว่าการทำ SEO และ SEM มีความแตกต่างกัน ถ้าจะเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียจะสรุปโดยย่อให้ดังนี้

-การทำ SEO มีข้อดีในด้านความประหยัดต้นทุน เพราะไม่เสียค่าโฆษณาและไม่เสียค่าคลิก เหมาะสำหรับธุรกิจใหม่ที่ยังมีงบประมาณไม่มากนัก ข้อเสียคือใช้เวลามากในการทำให้เว็บไซต์ไต่อันดับขึ้นมาและต้องทำ SEO อย่างต่อเนื่องทำให้มีอัตราการคลิกเข้าชมสูง  นอกจากนี้ยังต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการปรับคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมตลอดเวลา แต่ชดเชยด้วยการแสดงผลตลอด 24 ชั่วโมงและเพิ่มยอดขายต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย

-การทำ SEM มีข้อดีในด้านผลลัพธ์ที่รวดเร็ว โฆษณาวิธีนี้ผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับที่สูงใน Google รวดเร็วใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น สามารถกำหนดวันและช่วงเวลาในการแสดงผล รวมถึงกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้มาเข้าชมได้อย่างเจาะจงมากกว่าการทำ SEO ไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย ที่อยู่ ทำให้การโฆษณามีความคล่องตัวจะเปิดหรือปิดเมื่อไรก็ได้ สามารถเก็บข้อมูลคำค้นหาต่าง ๆ และเลือกคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังเลือกใช้คีย์เวิร์ดได้จำนวนมากด้วย ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือมีต้นทุนสูง มีค่าใช้จ่ายต้องเสียค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้น ต้องเพิ่มงบโฆษณาเพื่อให้มียอดคลิกเข้าชมจำนวนมากขึ้น และถ้างบโฆษณาหมดหรือปิดโฆษณาไปแล้ว เว็บไซต์จะไม่แสดงผลบน Google  

ทั้งสองรูปแบบให้ประโยชน์และทำควบคู่กันได้ช่วยให้การทำตลาดออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEM เพื่อเอามาทำ SEO หรือสลับกันคือวิเคราะห์คำค้นหาจาก SEO เพื่อเอามาทำ SEM ก็ได้ นำมาใส่ในบทความเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากที่สุดนั่นเอง

9 ระบบ AI Algorithm ของ Google ที่สำคัญต่อการทำ SEO

9 ระบบ AI Algorithm ของ Google ที่สำคัญต่อการทำ SEO

AI Algorithm หรือระบบการค้นหาของ Google คือส่วนสำคัญที่สุดสำหรับการทำ SEO เนื่องจาก ทุกครั้งที่เราทำ SEO จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบโดยระบบ AI Algorithm ของ Google เสียก่อน หากเว็บไซต์หรือเนื้อหาของเราผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การทำ SEO ให้ติดอันดับบน Google Search ก็จะง่ายมากยิ่งขึ้น 

ในวันนี้เรามาทำความรู้จัก AI Algorithm ของ Google แต่ละ Bot กัน เพื่อให้เราได้ทราบว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ หากอยากให้ SEO ของเราติดอันดับต้น ๆ 

1.Panda 

ระบบตรวจสอบการคัดลอกเนื้อหา ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดอันดับของเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพตลอดจนเว็บไซต์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้เข้าชมให้หายออกไปจาก Google ด้วยเหตุนี้คุณภาพของเนื้อหาสำนวนที่ใช้ รวมไปถึง แหล่งข้อมูล จึงต้องมีความน่าเชื่อถือทั้งหมด 

2.Penguin 

ระบบเพนกวิน คือระบบตรวจสอบ Backlink ที่เรานำมาใช้ว่ามีคุณภาพ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเนื้อหามากน้อยเพียงใด ตลอดจนความน่าเชื่อถือของ Backlink ซึ่งส่งผลการต่ออันดับ SEO โดยตรง

3.Pirate

ระบบที่คอยตรวจสอบมาตรฐานและการละเมิดลิขสิทธิ์ของเนื้อหา รูปภาพ และทุกสิ่งที่เรานำมาใช้งานภายในเว็บไซต์ ซึ่งหากตรวจพบการละเมิดลิขสิทธิ์ เว็บไซต์ของเราก็จะถูกลดระดับการมองเห็นลงในทันที

4.Hummingbird

นกฮัมมิ่งเบิร์ดคือระบบตรวจสอบการใช้ Keyword ล่วงหน้า ที่จะแสดงผลให้เราได้เห็นจากช่องการค้นหาบน Google เพื่อประมวลผลให้เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง ปรากฎในระบบการค้นหาของเรานั่นเอง

5.Pigeon

ระบบจัดอันดับสิ่งที่ผู้คนค้นหาตามพื้นที่ต่าง ๆ มากที่สุด ซึ่งพิราบจะแสดงหน้า เพจและเว็บไซต์ ของ ร้านค้า หรือบริการที่ผู้คนสนใจมากที่สุด ขึ้นให้ผู้ค้นหาได้เห็นเป็นอันดับแรก

6.Mobile Friendly Update

ระบบนี้ทำงานคล้ายกับระบบพิราบ เพียงแต่ระบบ Mobile Friendly จะจัดอันดับร้านค้า หรือบริการจากสถิติการค้นหาผ่าน Google Search บนโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

7.RankBrain

ระบบการค้นหากลุ่มคำ เพื่อคัดกรองเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงตามความต้องการของผู้ค้นหา โดยระบบจะประมวลผลจากเนื้อหาภายในบทความที่เรานำมาลงบนเว็บไซต์ หากมีคำที่ตรงหรือสอดคล้องกับคำที่ใช้ค้นหา เว็บไซต์นั้น ๆ ก็จะติดอันดับต้น ๆ ของ SEO 

8.Possum

ระบบนี้ทำงานเกี่ยวกับการจัดเตรียมและแสดงข้อมูลเฉพาะร้านค้าหรือบริการที่อยู่ใกล้เคียงผู้ค้นหา เพื่อให้ร้านค้าและบริการเหล่านั้นขึ้น SEO อันดับต้น ๆ 

9.Fred

คือระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาล่าสุด เพื่อตอบตรวจสอบเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพ ตลอดจนประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ เพื่อจัดอันดับให้อยู่ 1-3 ของระบบการมองเห็นบน Google นั่นเอง 

แม้ว่าการทำ SEO ให้ได้ประสิทธิภาพนั้น จะต้องผ่านการตรวจสอบมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากเราสามารถทำตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ เว็บไซต์ของเราก็จะติดอันดับต้น ๆ ของ SEO ได้นานมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นข้อได้เปรียบและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของเราได้อีกด้วย

SEO มีกี่แบบ พร้อมหลักการทำงานเพื่อให้เว็บไซต์เติบโต

SEO มีกี่แบบ พร้อมหลักการทำงานเพื่อให้เว็บไซต์เติบโต

จุดประสงค์หลักของการทำเว็บไซต์คือต้องการให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ตนเองทำ ยิ่งเป็นเว็บไซต์ธุรกิจด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสในการเติบโตมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย, เงินโฆษณาและอื่น ๆ อีกมาก จึงเป็นที่มาของการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง google นั่นเอง

SEO มีกี่ประเภท

SEO โดยหลัก ๆ จะมีด้วยกัน 3 ประเภท ซึ่งทั้ง 3 ประเภทก็มีวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือทำอย่างไรให้คนรู้จักและเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้มากที่สุด

1.SEO- On Page

SEO On Page คือการปรับแต่ง หน้าตาของเว็บไซต์ให้ google เป็นที่รู้จักหรือค้นหาได้โดยง่าย วิธีการทำหลัก ๆ คือจะต้องทำตามที่ google กำหนดหรือตรงตามกฎที่ระบุไว้ เชื่อว่าคนท่องโลกอินเทอร์เน็ตมากกว่า 80-90% นิยมใช้ google เป็น Search Engine หรือใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหามากที่สุด 

2.SEO- Off Page 

SEO-Off Page คือการอาศัยเทคนิคจากภายนอก เพื่อสร้างการค้นหาให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น เทคนิคการทำ Backlink 

3.Technical SEO

Technical SEO คือ SEO ที่มีเทคนิคและวิธีการทำนอกเหนือไปจาก SEO-On Page และ SEO-Off Page เช่น SEO Friendly, แผนผัง XML, การสร้างเว็บไซต์ให้รองรับทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เคลื่อนที่ เป็นต้น

หลักการทำงานของ SEO เพื่อการเติบโตของเว็บไซต์

เว็บไซต์คุณภาพ

เว็บไซต์ที่ดีควรมีคุณภาพ ทั้งในเรื่องของเนื้อหา keyword มีความปลอดภัย สามารถใช้งานได้ดีทุกระบบปฏิบัติการทั้ง windows, iOS และ Android โหลดเร็ว ซึ่งทาง google จะมีวิธีในการประเมินและให้คะแนนเพื่อจัดลำดับ Ranking ของเว็บไซต์ โดยยึดหลักตามกฎหรือข้อกำหนดที่ทาง google กำหนดมา

1.ดึงดูดคนเข้าเว็บไซต์

เมื่อเว็บไซต์ที่ทำการสร้างมามีคุณภาพเป็นที่รู้จัก ก็จะช่วยในการดึงดูดเข้าเว็บไซต์จำนวนมากได้ อาจใช้วิธีการทำ backlink เพื่อไปยังเว็บไซต์ที่ถูกกล่าวถึง เพื่อสร้าง Traffic จำนวนมาก

2.คอนเทนต์ดี มีประโยชน์

หลักการค้นหาของ google คือ การประมวลผลหาผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานหรือการค้นหาข้อมูลที่ดีมีคุณภาพ สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้งาน เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับการทำปุ๋ย เว็บไซต์ก็ควรจะมีขั้นตอนหรือวิธีการใช้ปุ๋ย ผลลัพธ์ของการใช้ปุ๋ย ประโยชน์ของปุ๋ย เป็นต้น การเลือกใช้ keyword ที่ตรงกับเนื้อหารวมไปถึงการใส่ keyword ให้เหมาะสม ไม่เยอะเกินไป ดูให้เป็นธรรมชาติ ไม่ยัดคีย์ เพราะการที่ใส่คีย์เวิร์ดจนเยอะเกินไปอาจทำให้ google มองเป็นการ spam อาจส่งผลให้เกิดการแบนหรือลดการมองเห็นจาก google ได้

หากเรารู้ถึงวิธีการทำ SEO แล้ว อย่าลืมที่จะสร้างเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎของเครื่องมือในการค้นหายอดนิยมอย่าง google ให้ดี เพราะมิเช่นนั้นแล้วนอกจากอันดับเว็บไซต์จะไม่อยู่ในลำดับที่ดีแล้ว อาจโดนทาง google แบนหรือปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ 

5 เทคนิคสร้าง SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

5 เทคนิคสร้าง SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

ใครที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็คงอยากให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูลผ่าน Google พบหน้าเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก (จริงไหมคะ) การสร้างเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกบน Google จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะเราทุกคนต่างมีคู่แข่งที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันค้นหา แต่ก็ไม่ยากมากเกินกว่าจะทำได้ ขอเพียงเราเข้าใจเรื่องระบบการสืบค้น หรือการทำ SEO ให้ดี เว็บไซต์ก็จะติดอันดับต้น ๆ ได้ไม่ยากค่ะ

วันนี้เราจึงสรุป 5 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติด SEO บน Google แพลตฟอร์มมาฝากกัน คือ

1.สร้างคีย์เวิร์ด (Keyword) ให้โดนใจ
สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราต้องเลือกให้ดี คือ การใช้คีย์เวิร์ดที่ดี เริ่มต้นจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าว่าเป็นเช่นไร ต้องการสิ่งใด และลูกค้าส่วนใหญ่จะพิมพ์ค้นหาด้วยการใช้ประโยคแบบไหน หากเราเข้าใจดีแล้ว การสร้างคีย์เวิร์ดก็จะช่วยให้ระบบการค้นหา SEO บน Google แสดงข้อมูลเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ

2.Backlink ต้องน่าเชื่อถือ
ความน่าเชื่อถือของลิงก์ที่เรานำมาใช้จะต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง รวมถึงการแชร์เนื้อหาออกไปยังสื่อต่าง ๆ ก็ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เขียนด้วยเช่นกัน การเลือกใช้ Backlink จึงไม่เพียงช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการและอ่านข้อมูลบนเว็บไซต์มากขึ้นด้วย

3.ออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจ
ในยุคปัจจุบัน Google ให้ความสนใจในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์เป็นอย่างมาก เพราะผู้ใช้งานร้อยละ 90% ที่เข้าสู่เว็บไซต์หนึ่ง ๆ มักต้องการข้อมูลครบถ้วน รวดเร็ว ตลอดจนประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากการใช้งาน การออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของระบบการค้นหา SEO

4.บทความดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
เนื้อหาข้อมูลที่นำมาลงในเว็บไซต์จะต้องชัดเจนและเกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ทั้งนี้การเขียนเนื้อหายังต้องเพิ่มคีย์เวิร์ดที่ดีแทรกลงไป เพื่อให้เข้าถึงผู้คนที่สนใจบทความดังกล่าวด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การอัปเดตข้อมูลให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ เพียงเท่านี้หน้าเว็บไซต์ก็จะขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ แล้ว

5.ใช้สื่อโซเชียล (Social Media) ให้เกิดประโยชน์
การใช้สื่อโซเชียลมีส่วนสำคัญมากถึง 90% ดังที่เราแนะนำไปข้างต้นว่า ในแต่ละบทความที่เราเขียนนั้นจำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ด รวมถึง Backlink ที่เกี่ยวข้องใส่ไว้เสมอ เพื่อให้ทุกครั้งที่มีการแชร์ ผู้ใช้งานก็จะพบเห็นบทความของเราได้มากขึ้น ตลอดจนการเข้าถึงเว็บไซต์ก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเช่นกัน

เราหวังว่า 5 เทคนิคที่นำมาแบ่งปัน จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การทำ SEO ไม่ใช่เพียงแค่ว่าทำวันนี้แล้วจะได้ผลทันที แต่การทำให้ต่อเนื่องหากจึงจะแสดงผลลัพธ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เพิ่มยอดขายให้ปัง !!! ด้วย SEO

เพิ่มยอดขายให้ปัง !!! ด้วย SEO

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการต่างมองหาความได้เปรียบในทุกรูปแบบเพื่อจูงใจให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าและบริการของตนเอง การเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น คุณรู้หรือไม่ว่าในโลกออนไลน์มีวิธีในการช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินค้าและบริการให้กับสินค้าของคุณได้ด้วยการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ซึ่งเป็นการตลาดออนไลน์อย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำถึงวิธีการเพิ่มยอดขายให้ปัง!!! ด้วย SEO มาบอกกัน…

SEO คืออะไร
SEO หรือ Search Engine Optimization เรียกให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การทำให้เว็บไซต์สินค้าและบริการของคุณอยู่ในลำดับต้น ๆ หรืออยู่ในหน้าแรกของการค้นหาผ่าน Search Engine เช่น Google, Yahoo ฯลฯ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น โดยการทำ SEO นั้นจะเป็นการจัดรูปแบบเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสม ให้ดึงดูดน่าสนใจ มีการใส่ keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป มีเนื้อหาในเว็บไซต์สอดคล้องกับสินค้าและบริการ มีภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวประกอบบทความ มีมากกว่า 1 หน้าต่อเว็บไซต์เพื่อเป็นการจัดกลุ่มเนื้อหาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ฯลฯ โดยเจ้าของ Search Engine จะมีการให้คะแนนเว็บไซต์ในแต่ละจุดเพื่อจัดลำดับในหน้า Search Engine ต่อไป

SEO จะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร
ประโยชน์หลัก ๆ จากการทำ SEO คือการเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของสินค้าและบริการของคุณ ซึ่งในแต่ละวันมีคนเข้า Search Engine เพื่อค้นหาสิ่งที่สนใจจะเลือกซื้อหลายล้านครั้งต่อวัน และต้องยอมรับว่าในโลกธุรกิจย่อมมีสินค้าและบริการที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกับสินค้าของคุณอย่างแน่นอน ดังนั้น หากเว็บไซต์ของคุณได้อยู่ในหน้าแรก หรืออันดับต้น ๆ ของการ Search ย่อมทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับความสนใจ และมีโอกาสที่คนจะเข้าชมมากขึ้นและเลือกซื้อสินค้าต่อไป

นอกจากนี้ การทำ SEO ที่ดีจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและตรงจุดมากขึ้น สามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ในการจัดจำหน่าย และยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าและบริการของคุณ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเลือกซื้อสินค้าที่สำคัญอย่างหนึ่งอีกด้วย

แม้ว่าการทำ SEO จะมีข้อดีมากมาย เป็นเสมือนเครื่องมือทางการตลาดที่คนทำธุรกิจในยุคใหม่ต้องเรียนรู้และไม่ควรมองข้าม แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ เพราะคุณจะต้องทำการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ทันสมัย ข้อมูลมีการอัพเดตอยู่เสมอ เพราะหากคุณปล่อยปละละเลยไม่มีการอัพเดตข้อมูล เว็บไซต์ของคุณก็อาจถูกเลื่อนลำดับไปอยู่หน้าอื่น ๆ ได้เช่นกัน

5 เทคนิคลับ SEO 2021 ระดับ Advance

5 เทคนิคลับ SEO 2021 ระดับ Advance

จากหลายปีที่ผ่านจะเห็นว่าการแข่งขันทำอันดับเว็บไซต์บน Search Engine เช่น Google, Bing, Yahoo หรือ Wiki search ฯลฯ รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการทำเว็บไซต์หรือเว็บบล็อกเป็นช่องทางที่สามารถสร้างรายได้และเป็นช่องทางในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การทำ Search Engine Optimization หรือ SEO แบบพื้นฐานไม่พออีกต่อไป โดย 5 เทคนิคลับทำ SEO ระดับ Advance 2021 มีดังนี้

1.เพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Backlink ด้วย Infographic
การทำ Infographic เป็นการทำภาพที่ช่วยสรุปเนื้อหาบนหน้าเว็บเพจทำให้ผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น โดยการทำ Infographic จะเป็นภาพแผนภูมิ สัญลักษณ์ หรือภาพวาดก็ได้เพียงแต่ต้องให้ผู้ที่อ่านเข้าใจได้ในทันที ซึ่ง Canva.com เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้าง Infographic ใช้งานง่ายและได้รับการแนะนำจากมืออาชีพด้านการทำเว็บไซต์ เพราะมีแม่แบบ Infographic ให้เลือกมาปรับใช้มากมายและมีรูปภาพฟรีให้ใช้งาน ทั้งนี้เมื่อทำภาพ Infographic เรียบร้อยแล้ว ก่อนการนำไปโพสต์ลงบนเว็บไซต์ควรตั้งชื่อไฟล์ภาพและแทรกคำอธิบายภาพด้วย Keyword (คำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหา) ทุกครั้ง

2.ปรับเว็บไซต์ให้รองรับ SEO ด้วย AI SEO Tools
สำหรับมืออาชีพด้านการทำเว็บไซต์น่าจะรู้จัก AI SEO Tools กันบ้างแล้ว เพราะเครื่องมือนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปรับการตั้งค่าต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์และปรับ Content ให้มีประสิทธิภาพในการทำ SEO มากขึ้น ทำให้เว็บไซต์มีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นและติดอันดับบน Search Engine ได้ง่ายขึ้นด้วย

3.Keyword ที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการค้นหาอีกต่อไป
ตั้งแต่เริ่มศึกษาการทำเว็บไซต์และ SEO เรามักจะเห็นผู้เชี่ยวชาญในการทำเว็บไซต์แนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาเยอะ ๆ เพราะจะทำให้มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น แต่ในการทำ SEO 2021 ระดับ Advance กลับแนะนำให้เลือกใช้ Keyword ที่มีคนค้นหาน้อยแต่เป็นที่ต้องการ เพราะคำค้นหาดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ได้มากกว่า โดยแทรกคำที่แสดงถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายลงไป เช่น ไม้ถูพื้น ABC รุ่น T123 กับ T456 แบบไหนดีกว่ากัน, มือถือพร้อมแพ็กเกจ ค่าย QQ กับ ค่าย PP คุ้มค่ากว่ากัน เป็นต้น

4.สร้าง Backlink ย้อนกลับไปยังบทความเก่า ๆ
หลายคนหมั่นเขียนบทความลงบนเว็บไซต์แต่กลับลืมแนบลิงก์บทความก่อนหน้าเพื่อสร้างความเชื่อมโยง ทำให้เมื่อมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ใช้เวลาบนเว็บไซต์น้อย ส่งผลให้อันดับบน Search Engine ลดลง ดังนั้นเพื่อสร้างการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ควรหมั่นเข้าไปแก้ไข อัปเดตและแนบลิงก์บทความเก่าให้มีความเชื่อมโยงกัน เพราะจะทำให้เว็บไซต์สามารถทำอันดับบน Search Engine ได้ดีขึ้น

5.ปรับเนื้อหาให้รองรับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search)
เทรนด์การค้นหาข้อมูลด้วยเสียงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การสร้างเนื้อหาให้รองรับการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำ SEO ในอนาคต เช่น การตั้งชื่อหัวข้อบทความด้วยประโยคคำถาม เป็นต้น

หากต้องการพัฒนาเว็บไซต์ให้รองรับการทำ SEO ในอนาคต เทคนิคลับทำ SEO ระดับ Advance ข้างต้นนี้ จะช่วยให้การทำเว็บไซต์มีประสิทธิภาพ และสามารถทำให้อันดับในผลการค้นหาสูงขึ้นได้

แนะนำกลยุทธ์สำคัญในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

แนะนำกลยุทธ์สำคัญในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

การทำ SEO มีความสำคัญต่อการสร้างเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เป็นอย่างมากถ้าต้องการประสบความสำเร็จบนตลาดออนไลน์ การทำ SEO จึงถือว่าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายและรวดเร็วมากที่สุด ดังนั้นจึงขอแนะนำกลยุทธ์สำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม ดังนี้

1.กระตุ้นกลุ่มเป้าหมาย
เริ่มต้นจากการทำ SEO ด้วยการกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้รู้จักกับเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ที่ของคุณให้มากที่สุด โดยการใช้ชื่อของธุรกิจหรือบริการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เลือกใช้ Keyword ที่สามารถทำให้คน Search คีย์เกี่ยวกับธุรกิจของคุณแล้วเจอได้บนหน้าแรก ๆ ของ Google ดังนั้นการวาง Keyword ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องอยู่บนหน้าเว็บไซต์และอยู่บนทุกส่วนของเว็บ เพื่อทำให้ Google ค้นหาคุณได้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ห้ามสแปม Keyword เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจนำพาให้เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ของคุณโดนแบนได้

2.ความรู้คือสิ่งสำคัญ
ความรู้ภายในเว็บไซต์ หมวดหมู่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทความหรือคลิปวิดีโอ ควรถูกทำขึ้นเป็นส่วนเฉพาะในการให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณ ต้องมีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน เช่น ถ้าคุณทำเว็บไซต์ขายอุปกรณ์ก่อสร้างออนไลน์ คุณต้องนำความรู้เกี่ยวกับลวด, เหล็ก, คาน และการเลือกใช้อุปกรณ์ก่อสร้างต่าง ๆ มาลงภายในเว็บไซต์ ซึ่งถือว่ามีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างชัดเจน ดังนั้นเมื่อมีคนต้องการความรู้เหล่านี้ ก็จะคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณ เพื่อมองหาข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งถ้าคุณสามารถทำข้อมูลต่าง ๆ ออกมาให้ความรู้ชัดเจนและแตกต่างไปจากเว็บไซต์อุปกรณ์ก่อสร้างเว็บอื่น ๆ ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ค้นหาและเป็นการแชร์บอกต่อให้ผู้อื่นคลิกเข้ามามากขึ้นอย่างแน่นอน

3.เนื้อหาสอดคล้องกัน
ไม่ว่าคุณจะทำเว็บไซต์เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการใดก็ตาม สิ่งที่คุณจะต้องทำบนเว็บและสื่อออนไลน์ของคุณ คือ การทำให้เนื้อหาสอดคล้องกันไปทั้งหมด ไม่ควรทำให้แตกออกจนกลายเป็นความสับสน เช่น ถ้าคุณทำเว็บไซต์หรือเพจบน Facebook เพื่อขายเสื้อ แต่คุณกลับนำ Content บทความหรือคลิปวิดีโอเกี่ยวกับความบันเทิงในด้านอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับเสื้อมาลงภายในเว็บหรือเพจ ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อให้คลิปที่คุณทำจะเป็นที่ชื่นชอบ แต่ด้วยเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกัน อาจจะทำให้ภาพจำแบรนด์ของคุณกลายเป็นด้านอื่นจนไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นจึงให้ได้แค่ความบันเทิง แต่ไม่สามารถสร้างประโยชน์ใด ๆ ให้กับตัวเว็บหรือเพจได้

4.การใช้คีย์เวิร์ด
หัวใจหลักของการทำ SEO คือ การใช้ Keyword อย่างถูกต้องภายในเว็บไซต์ ไม่ใช่แค่เพียงการใช้ Keyword บนชื่อหรือหน้าแรกของเว็บและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่จะต้องทำให้สอดคล้องกันไปภายในทุกหน้าของเว็บไซต์และทุกส่วนของ สื่อออนไลน์ ที่สำคัญคือคุณจะต้องมีการอัปเดต Keyword สำคัญอยู่เสมอ แม้ว่า Keyword เดิมของคุณจะมีสถิติการค้นหาที่ดีมาอยู่แล้ว แต่ต้องเข้าใจว่า Google มีการพัฒนาศักยภาพของการค้นหา พร้อมการปรับเปลี่ยนและอัปเดตต่าง ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น Keyword จึงถูกอัปเดตไปด้วย ซึ่งในทุก ๆ ปี Google จะมีการมองหา Keyword ที่มีอัตราการค้นหาสูง คุณจึงควรตามข่าวเรื่องเหล่านี้ให้ดี แล้วนำคีย์ที่เหมาะสมต่อธุรกิจของคุณมาใช้ให้ได้ผลมากที่สุด

การทำ SEO ถือเป็นความสำคัญของผู้ที่ต้องการอยู่บนตลาดออนไลน์และโดดเด่นที่สุด สามารถดึงกลุ่มเป้าหมายเข้าสู่เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ได้ง่ายมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มศักยภาพด้านงานออนไลน์ทุกประเภทได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคุณจึงควรติดตามเทรนด์ Google ให้ดี เพื่อนำพาธุรกิจให้สามารถทำยอดขายและกำไรได้อย่างที่ต้องการ