Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คือ เครื่องมือยอดนิยมใน WordPress ที่ช่วยในการปรับแต่ง SEO ให้มีความเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามหลักของ google ได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่ต้องการทำการตลอดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ด้วยบทความ จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปลั๊กอินที่ชื่อว่า Yoast นี้ เพื่อช่วยในการตรวจสอบคำหรือบทความให้ถูกต้องตามหลัก SEO On-Page เนื่อง Yoast เป็นตัวช่วยในการปรับแต่ง แก้ไข ให้บทความในเว็บไซต์ ให้สมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักการค้นหาของ google 

ประโยชน์ของ Yoast SEO ที่มีต่อเว็บไซต์

Yoast เป็นเครื่องมือที่ฟรีและเป็นมิตรกับ google เอามาก ๆ จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ทำเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม WordPress โดยเฉพาะมือใหม่ด้วยฟีเจอร์ที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับใช้คำหรือข้อความให้ถูกหลัก SEO โดยจะแสดงออกมาในรูปของสีบนตัวอักษร

  • สีเขียว หมายถึง ผ่าน, ทำได้ดี มีความสมบูรณ์มากที่สุด ถูกต้องตามหลัก SEO 
  • สีส้ม หมายถึง ดีแต่ยังไม่สมบูรณ์ ควรทำการปรับปรุงแก้ไข 
  • สีแดง หมายถึง ไม่ผ่าน ต้องแก้ไขโดยด่วน 

ช่วยเลือกคีย์เวิร์ด

นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบความสมบูรณ์ ของบทความตามหลัก SEO แล้ว ยังช่วยเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับบทความของคุณอีกด้วย 

ช่วยวิเคราะห์และปรับแต่งเว็บไซต์

Yoast SEO ยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ ในเรื่องของการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมและถูกต้องตามหลักของ SEO ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์ ดังนี้ 

  • ในส่วนของ Meta Description คือคำอธิบาย เนื้อหาของเว็บไซต์ โดยจะอยู่ในส่วนของ Head โดยข้อความของ Meta Description จะแสดงในหน้าค้นหาของ Search Engine ซึ่ง Yoast จะทำหน้าที่ในการกำหนดความยาวที่เหมาะสมหรือการโฟกัสในส่วนของ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 
  • XML Sitemaps คือ แผนผังเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ในการนำทางให้ Bot ของ SEO เข้าใจถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ คล้ายเป็นไกด์หรือสารบัญให้ Bot ได้ตรวจสอบ เพื่อให้เข้าใจเว็บไซต์ที่ทำมากยิ่งขึ้น หากตรวจพบถึงโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมจะทำการแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข เช่น การเชื่อมต่อภายใน, การเชื่อมต่อภายนอก เป็นต้น
  • Canonical URLs คือ URLs ที่มีการเข้าถึงซ้ำ ๆ กันหลาย address หรือมีเนื้อหาที่ซ้ำกัน เช่น hppts://about.com กับ http://aboutus.com จาก URL ดังกล่าวเป็นไปได้ว่าหน้าเพจที่ลิงก์ไปอาจซ้ำกันหรือมีหน้าตาที่เหมือนกัน ซึ่ง Canonical URLs นี้จะช่วยแก้ไขเมื่อพบว่าเนื้อหาของเพจซ้ำกัน ควรได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขและ Canonical URLs ยังช่วยบอก Bot ของ google ว่าเว็บไซต์ดังกล่าวให้ความสำคัญกับเพจหน้าไหนมากที่สุด

สำหรับใครที่มีความสนใจจะทำเว็บไซต์เพื่อการตลาดให้ถูกต้องตามกฎ SEO อย่าลืมที่จะโหลดปลั๊กอิน Yoast มาใช้ โดยเฉพาะมือใหม่ เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาของ google ได้อย่างถูกต้อง แต่อย่าลืมว่า Yoast เป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุง แก้ไขเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO มิใช่เครื่องมือที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ 

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization คือเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเพราะมีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเจอธุรกิจคุณง่ายขึ้น ทำให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก เพิ่มความน่าเชื่อถือ รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย และแม้ว่าหลายธุรกิจเลือกทำ SEO ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ในการดูแลและหากลยุทธ์ผลักดันให้เว็บไซต์ไต่ขึ้นหน้าแรกผลการค้นหา แต่เพราะปัจจุบันมีบริษัทจำนวนมากรับทำ SEO แต่จะเลือกอย่างไรและต้องพิจารณาอะไรบ้างเพื่อให้ได้ร่วมงานกับบริษัทรับทำ SEO ที่เจ๋งจริงและทำให้ธุรกิจของคุณโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

1. มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

การทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยบริษัทที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เนื่องจากระบบหลังบ้านของ Search Engine มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนเสมอ ซึ่งบริษัทรับทำ SEO ต้องตามให้ทัน เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีเครื่องมือทำ SEO ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเครื่องมือเกิดใหม่มักมาพร้อมฟีเจอร์น่าสนใจ ซึ่งหากบริษัท SEO หมั่นอัปเดตเทรนด์และหาความรู้ใหม่เสมอ ย่อมสร้างความได้เปรียบในการทำ SEO

2. ราคาสมเหตุสมผล

ด้วยความที่ SEO เป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีบริษัทรับทำ SEO เกิดขึ้นจำนวนมาก การตัดราคาหรือนำเสนอราคาที่ถูกที่สุดจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากพบว่าบริษัทใดนำเสนอราคาถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดก็อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือก เพราะบางครั้งราคาถูกมาพร้อมคุณภาพที่ลดลงตามราคา ซึ่งหากเจอบริษัทใดราคาถูกมา ๆ แนะนำให้คุยรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงขอดูผลงานเก่าเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าตัดสินใจเลือกบริษัทไม่ผิด 

3. บริษัทที่เป็นมิตร จริงใจ และให้คำปรึกษา

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี คือบริษัทที่เลือกควรมีความจริงใจ เข้าใจความต้องการลูกค้า และเข้าใจเป้าหมายการทำ SEO ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสังเกตได้ตั้งแต่ขั้นตอนการคุยรายละเอียด บริษัทรับทำ SEO ที่ดีควรให้คำแนะนำ อธิบายขั้นตอนและวางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญต้องจริงใจ มีการทำสัญญาและระบุรายละเอียดการทำงานอย่างครบถ้วน โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

การว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ให้ดูแลและวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจคุณ เปรียบเสมือนการส่งมอบหน้าที่สำคัญให้กับบุคคลอื่น เพราะ SEO คือเครื่องมือสำคัญยิ่งในการทำการตลาดออนไลน์ บริษัทรับทำ SEO จึงมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ทะยานสู่อันดับต้น ๆ เพราะฉะนั้นท่านเจ้าของธุรกิจจึงควรพิจารณาให้ดีว่าบริษัทที่เลือกมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญมากเพียงใด เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนว่าจ้างและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการทำการตลาดอีกด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

Search Engine คือเครื่องมือสำหรับค้นหาเนื้อและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการ เปรียบเสมือนห้องสมุดที่เก็บเรื่องราวต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซด์ และเนื้อหาต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยผู้สนใจที่ต้องการค้นหาข้อมูลก็สามารถพิมพ์คำหลักในแถบค้นหา จากนั้นอัลกอริทึม (Algorithm) จะทำการค้นหาในคลังข้อมูลด้วยซอฟแวร์เครื่องมือที่เรียกว่า Web Crawler หรือ Web Spider หรือ Web Robot ซึ่งมีเส้นใยเครือข่ายโยงไปมา จากนั้นก็จะดึงเอาลิ้งก์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำค้นหานั้นออกมาแสดงบนหน้าแสดงผลการค้นหา เรียกว่า Search Engine Results Pages (SERPs) ส่วนการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือการเพิ่มประสิทธิภาพของการค้นหา มีบทบาทสำคัญในการทำให้เว็บไซด์หรือเพจของคุณได้รับการจัดอันดับการค้นหาในอันดับต้น ๆ ของ SERPs เป็นการเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะค้นพบธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น

AI หรือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความฉลาดเหมือน (หรืออาจจะเหนือกว่า) มนุษย์ เพราะสามารถทำงาน ตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาบางอย่างได้ด้วยตนเองเหมือนมนุษย์ ในปัจจุบันมีการนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์บริการ และ Application ต่าง ๆ รวมถึงการทำงานของ Search engine อย่าง Google ด้วย ในปัจจุบันความสามารถของ AI มีความเฉพาะเจาะจงเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น AI ในรถยนต์จะทำหน้าที่ควบคุมการขับรถเพียงอย่างเดียว ในกรณีหุ่นยนต์ก็จะกำหนดแค่เฉพาะการรับคำสั่งเท่านั้น อย่างในกรณีของ Search Engine AI ก็จะทำหน้าที่ประมวลผลจากคำค้นหาที่ผู้ใช้งานระบุ เพื่อค้นหาลิงค์ที่มีบทความ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ ได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานให้มากที่สุดนั่นเอง

โดย AI ที่มีผลต่อ SEO มากที่สุดในปัจจุบันคือ Rank Brain ของ Google เลย เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดอันดับคุณภาพของเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อคัดเนื้อหาที่จะเเสดงให้ผู้ใช้งานเห็น สามารถทำงานได้ตลอดเวลาไม่มีวันเหนื่อย หรือหยุดพัก เรียกว่า Rank Brain สามารถทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง รองรับทุก ๆ บทความ SEO ที่เพิ่มได้ตลอดเวลาจากทั่วทุกมุมโลก กล่าวได้ว่าการทำงานของ AI นี้จึงเกี่ยวข้องกับ SEO โดยตรง ดังนั้นการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการขึ้นอันดับการค้นหาเป็นลำดับต้น ๆ ได้จริงจึงต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับ Algorithm นี้ให้ดีด้วย

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ AI-ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น อย่าง

– Market Brew เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยวิเคราะห์เหตุผลในการจัดอันดับของเว็บไซต์ หรือผลลัพธ์ของเครื่องมือการค้นหา (SERPs) ช่วยให้สามารถปรับแผนการทำ SEO ได้ดีขึ้น

– Publicity.ai AI ที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่ง และรูปแบบการตลาดของผู้ประกอบการ ทำให้สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำตลาด เป็นการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และแสดงผลลัพธ์ในทุก ๆ ครั้งที่ีมีความคืบหน้าอีกด้วย

– SEMrush เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยวิเคราะห์ผลการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับการทำ SEO อย่าง Keyword, การทำ Domain และรายงานผลการค้นหา Keyword Magic Tool ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายและสะดวกมากขึ้น

เพราะความก้าวหน้าหน้าและพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจรูปแบบการทำงานด้านเทคโนโลยีอย่าง AI จึงถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อการทำ SEO ทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง

ชี้ 5 ข้อดีของการทำ SEO สายเทา

ชี้ 5 ข้อดีของการทำ SEO

แน่นอนว่าการปรับตัวในการทำธุรกิจนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ SEO “สายเทา” และปรับเปลี่ยนในการทำการตลาดออนไลน์ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะคุ้นหูคุ้นตากันเป็นอย่างดีในเรื่องของการรับลงโฆษณานั่นเอง ส่วนการเรียนรู้และการศึกษาก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยให้เข้าถึงบริบทในการรับลงโฆษณา

1. “ใช้งบประมาณน้อยกับผลลัพธ์นั้นเกินคุ้ม” : เงินลงทุนคือสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบจะจัดระเบียบและวางแผนให้เป็นอย่างดี รวมถึงส่วนการโฆษณาทำการตลาดทางโลกออนไลน์ ถ้าหากเปรียบเทียบกับการลงสื่ออื่นๆ ก็คือ หนังสือพิมพ์หรือป้ายโฆษณาต่างๆแล้วใช้การรับโปรโมทเว็บ ซึ่งเฟสบุ๊คนั้นจะมีการลงทุนที่ใช้เงินน้อยกว่า และได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า สามารถนำเงินทุนและกำไรไปต่อยอดได้มากกว่าเดิม เพราะคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้เวลาอยู่กับโลกออนไลน์ ที่ไร้ขีดจำกัดรอบด้านทั้งสถานที่และช่วงเวลา จึงยกให้สื่อออนไลน์มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนี้

2. “เข้าถึงง่ายและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย” : เว็บไซต์และเฟสบุ๊คในยุคสมัยนี้สามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงกันได้ง่าย ซึ่งเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลแก่ผู้คนมากมายที่ให้ความสนใจและล็อคอิน เพื่อติดตามข่าวสารทุกวันแบบรอบด้าน ทำให้บริหารจัดการและกระจายสื่อให้ผู้รับรู้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถจำกัดและครอบคลุมเป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยมด้วย

3. “การดำเนินการที่ง่ายและสะดวกสบาย” : การใช้บริการรับลงโฆษณานั้นสามารถดำเนินการต่างๆ ได้อย่างง่าย แถมยังประหยัดเวลาและสะดวกรวดเร็วอีกด้วย แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องมีการแจกโบรชัวร์หรือโปรโมทผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งแปะโฆษณาตามฝ่าผนังริมทางเดิน อย่างว่ายุคสมัยนี้สามารถโปรโมทเว็บผ่านทางออนไลน์ได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังสามารถอัปเดตข้อมูลได้ด้วยตนเอง โดยใช้เวลาไม่นาน

4. “เห็นผลรวดเร็ว Backlink สายเทา” : เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อผ่านโลกออนไลน์ ถึงทำให้สิ่งที่ต้องการนำเสนอนั้นเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังมีการรับลงโฆษณาด้วย โดยกลุ่มเป้าหมายนั้นมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ถือว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมและวางแผนจัดการได้โดยตัวเอง เพื่อกระตุ้นยอดและทำให้เว็บเป็นที่รู้จักมากขึ้น

5. “เพิ่มลูกค้าได้อย่างยั่งยืน” : ผู้คนสามารถค้นหาและติดตามเว็บไซต์ได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น เป็นเว็บแทงบอลออนไลน์ โดยในเว็บนั้นมีทั้งให้ทีเด็ดบอลเต็ง, บอลสเต็ป และวิเคราะห์บอล เมื่อมีคนเสิร์ช คำว่า “วิเคราะห์บอล” ใน Google ซึ่งการทำ SEO จะช่วยผลักดันให้เว็บแทงบอลออนไลน์ของคุณขึ้นมาอยู่ที่หน้าแรกของการเสิร์ช ทำให้เว็บหรือธุรกิจของคุณกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและดึงดูดผู้คนที่เสิร์ชเป็นอันดับต้นๆ

นอกจากนี้ยังทำได้อีกหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างหรือใช้บริการบริษัทที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดออนไลน์และรับลงโฆษณาสายเทา แต่อย่าลืมว่านำเสนอคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพก็เป็นส่วนสำคัญให้การดึงดูดกลุ่มลูกค้า อาทิเช่น การนำเสนอวิดีโอ, รูปถ่าย, และบทความหรือคอนเท้นต์อื่นๆ ที่จะทำให้เกิดความน่าสนใจ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในเพิ่มมูลค่าให้กับเว็บ

ใครที่ต้องทำ SEO บ้าง และจำเป็นอย่างไร

ใครที่ต้องทำ SEO บ้าง และจำเป็นอย่างไร

ยุคสมัยที่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เพียงมือถือเครื่องเดียวต่อกับอินเทอร์เน็ตก็สามารถหาข้อมูลได้ทั่วโลกแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่วงการธุรกิจหรือใครก็ตามที่ต้องการจะนำเสนอ Content ที่น่าสนใจให้แพร่หลาย หันมาทำ SEO กันมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ต้องจ่ายค่าโฆษณาแพง ๆ ลงโทรทัศน์เพื่อให้สินค้าชิ้นหนึ่งเกิดเป็นกระแสนิยม แต่ในสมัยนี้การทำ SEO จะช่วยประหยัดงบประมาณไปได้มากและตรงกับกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย แต่ถึงตรงนี้ก็ยังเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักคำว่า SEO คืออะไร เราลองมาศึกษาไปพร้อม ๆ กัน

SEO คืออะไร

SEO (Search Engine Optimization) คือการเพิ่มประสิทธิภาพในเครื่องมือการค้นหา โดยใช้ Keyword เป็นตัวช่วยให้กลุ่มเป้าหมายให้หาเว็บไซต์ของเราเจอได้ง่าย เราสามารถนำเสนอบทความหรือ Content ลงไปใน Search Engine อันดับ 1 อย่าง Google ยิ่งบทความที่เรานำเสนอตรงกับ Keyword ที่ใช้ในการค้นหามากเท่าไหร่ เว็บไซต์ของเราก็ยิ่งถูกดันขึ้นมาให้เกิดการค้นเจอได้ง่ายยิ่งขึ้น ผู้คนก็จะเห็นในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอมากขึ้นด้วย

ข้อดีของการทำ SEO กับการทำธุรกิจ

หากทำ SEO ได้อย่างถูกวิธี และเนื้อหามีประโยชน์ต่อผู้อ่าน บทความที่เราต้องการนำเสนอจะถูกดันขึ้นมาให้อยู่ในหน้าแรก ๆ ของ Search Engine เป็นการโปรโมทเว็บไซต์ของเราให้มีคนรู้จักมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ก็จะถูกค้นหาเจอได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย

การทำ SEO จำเป็นต้องมี Keyword เป็นหลักในการทำ โดยลูกค้าที่สนใจในสินค้าหรือบริการของเราก็จะ Search โดยการพิมพ์คำ Keyword ลงไปในช่องค้นหา ทำให้เราสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง อย่าลืมว่าเราไม่ได้วิ่งหาลูกค้า แต่ลูกค้าวิ่งมาหาเราเอง เหมือนเป็นการสกรีนลูกค้าในระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งสามารถเก็บพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อพัฒนาการทำ SEO ต่อไปในอนาคตได้ด้วย

SEO คืออะไร

การทำ SEO จะช่วยขยายฐานลูกค้าได้ดี ยิ่งเป็น Content ที่กำลังเป็น Viral จะยิ่งสร้างฐานผู้ติดตามได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การทำ SEO ยังช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าให้คงอยู่อีกด้วย เพราะ Content ที่เราทำจะต้องมีคุณภาพและน่าสนใจ เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มลูกค้า ทำให้ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่จะคอยติดตามเว็บไซต์ของเราอย่างแน่นอน

ถ้าถามว่าการทำ SEO เหมาะกับใคร ก็ขอตอบแบบกว้าง ๆ ไว้ก่อนว่า ผู้ที่ทำธุรกิจหรือต้องการจะนำเสนอสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเอกชนหรือมหาชนก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ที่ต้องตอบแบบกว้าง ๆ ก็เพราะว่าการทำ SEO ทำได้ขนาดนั้นจริง ๆ ด้วยการใช้งบประมาณต่ำสุด แต่กลับได้ประสิทธิภาพสูงสุด ถือเป็นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่คุ้มค่ามากที่สุดรูปแบบหนึ่งในยุคสมัยนี้แล้ว

เทคนิคขยายฐานลูกค้าด้วย SEO

พื้นฐานการทำเว็บให้ติดอันดับ

เว็บไซต์เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับขายสินค้าและบริการ เนื่องจากเว็บไซต์เป็นหน้าร้านที่คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ ทำให้บริษัท ห้างร้าน หรือนักขายของออนไลน์ จึงควรศึกษาเทคนิคที่จะทำให้เว็บไซต์ขายสินค้าและบริการของตนเองเป็นที่รู้จัก ซึ่ง SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปิดโอกาสในการขยายฐานลูกค้าบนเว็บไซต์ที่ดีที่สุด เพราะการทำ SEO ที่ดีจะทำให้เว็บไซต์แสดงขึ้นมาในหน้าแรกของ Search Engine เมื่อมีผู้คนหา โดย SEO พื้นฐานในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine เพื่อขยายฐานลูกค้าสามารถทำได้ ดังนี้

พื้นฐานการทำเว็บให้ติดอันดับ

เลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการมาสัก 2 – 3 Keyword โดยนำไปเช็คใน Keyword Research เพื่อให้ได้คีย์เวิร์ดที่ดีที่สุด มีการแข่งขันต่ำแต่มีจำนวนคนค้นหาสูง

ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ โดยเขียนออกมาเป็นรายละเอียดให้ชัดเจนเพื่อให้ง่ายต่อการทำ Content เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันย่อมมีความสนใจที่แตกต่างกันด้วย เช่น หากเป็นกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น การเขียนคอนเทนต์ควรมีความสนุกสนาน น่าสนใจ อ่านง่ายและเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน แต่สำหรับกลุ่มเป้าหมายวัยทำงานจะชอบอ่านบทความที่มีเนื้อหายาก ๆ และเกี่ยวข้องกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ เป็นต้น

เขียน บทความ SEO โดยใช้ Keyword ที่เลือกมาโดยเขียนให้เข้ากับความชอบของกลุ่มเป้าหมายโดยแทรกสาระความรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการด้วย ซึ่งความยาวของ Content ควรมีปริมาณ 300 – 500 ตัวอักษรขึ้นไป และแทรก Keyword เอาไว้คำละ 2 – 3 ครั้ง โดยอัปโหลดเป็นประจำวันละ 1 – 2 บทความ จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search engine ได้ง่ายขึ้น

การทำวิดีโอคอนเทนต์หรือ Voice Content เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายที่ไม่มีเวลาอ่านเปิดดูได้ง่ายขึ้น ซึ่งการทำวิดีโอคอนเทนต์ควรนำเทคนิคเร้าอารมณ์ความรู้สึกเพื่อให้เกิดการแชร์ เมื่อมีผู้แชร์มากขึ้นก็ทำให้เป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้นด้วยเทคนิคขยายฐานลูกค้าด้วย SEO

ซื้อแอดโฆษณาโปรโมทบทความที่น่าสนใจเพื่อขยายฐานลูกค้าที่อาจไม่ได้ค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการให้รู้จักกับเว็บไซต์ โดยเทคนิคสำคัญคือต้องเป็นบทความที่ดึงดูดให้อ่านมากที่สุด

ใช้เทคนิคในด้านที่เกี่ยวกับการตลาด เช่น การแจกสินค้าหรือข้อมูลที่น่าสนใจ โดยแลกกับช่องทางการติดต่อ วิธีนี้จะทำให้เราสามารถโปรโมทสินค้าหรือบริการอื่นที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้าที่ยอมให้ช่องทางการติดต่อได้ในอนาคต

อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถแบ่งปันข้อมูลข่าวสารระหว่างกันได้ ทำให้การใช้อินเทอร์เน็ตในการขายสินค้าและบริการได้รับความนิยมมาก เพราะไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ เพียงแต่มีอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เมื่อผนวกกับการทำ SEO ให้ได้ผล ก็จะสามารถขายสินค้าหรือบริการให้กับคนทั่วโลกได้

การทำ SEO บน Instagram สำหรับร้านขายของ

การทำ SEO บน Instagram สำหรับร้านขายของ

อินสตราแกรมเป็นแอปพลิเคชันที่มีไว้เพื่อให้แชร์รูปภาพหรือวิดีโอสวย ๆ ทำให้ร้านค้าออนไลน์หลายร้านใช้ช่องทางนี้ในการทำภาพสินค้าสวย ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย หลายร้านก็ประสบความสำเร็จแต่หลายร้านกลับแทบไม่มีลูกค้าที่เข้ามา Follow แม้ว่าจะเป็นสินค้าประเภทเดียวกันก็ตาม ส่วนหนึ่งของจำนวน Follower ที่แตกต่างกันเกิดจากเทคนิคการถ่ายภาพและการนำเสนอสินค้า แต่อีกส่วนคือการทำ SEO บน Instagram

วิธีการทำ SEO บน Instagram สามารถทำได้ ดังนี้

การสร้างโปรไฟล์ของร้านค้า ควรมีความน่าสนใจและต้องมีการตั้งค่าให้ทุกคนสามารถเข้าชมได้ หลายร้านที่เคยเจอในอินสตราแกรมมักตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอาไว้ ทำให้แม้ร้านจะถูกหาเจอได้ง่าย แต่กลับมีจำนวน Follower น้อย เพราะลูกค้าบางคนไม่อยากเสียเวลาไปกดติดตามหากไม่ได้เห็นสินค้าที่ขายในร้านก่อน

การตั้งชื่อร้านค้าหรือ User ควรใช้ชื่อที่นำ Keyword มาใช้งาน โดยวิธีการหา Keyword ที่ดีต่อร้านควรใช้ Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายค้นหาบ่อย ซึ่งสามารถเช็คจำนวนผู้ค้นหาและดูอัตราการแข่งขันของ Keyword ที่ต้องการใช้ได้จาก Keyword Research ต่าง ๆ ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย

คำอธิบายใต้ชื่อ User ของร้านควรใส่คำอธิบายสั้น ๆ โดยมี Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายแทรกเอาไว้และควรเขียนช่องทางการติดต่อเพิ่มเติม เผื่อในกรณีที่ลูกค้าสนใจสินค้า จะได้สอบถามไปยังช่องทางต่าง ๆ ที่ให้เอาไว้ได้ ซึ่งร้านไหนที่มีเว็บไซต์ก็ควรใส่ลิงก์เว็บไซต์เอาไว้ด้วย เพราะจะทำให้ดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

การใส่ Hashtag หรือ สัญลักษณ์ # เป็นสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาใช้ใน IG แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าการใส่ Hashtag ไม่ได้ทำให้ลูกค้าค้นหาสินค้าอื่น ๆ ภายในร้านเจอ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ใช้คำที่มีความหมายกว้าง ๆ ไม่ได้เจาะจงลงไปเกี่ยวกับร้านของตัวเอง ทำให้เมื่อลูกค้าคลิกไปยังแฮชแท็กนั้น ๆ ก็จะกลายเป็นช่องทางเข้าสู่ร้านอื่น ๆ แทน

การเขียนคำบรรยายสินค้าเป็นช่องทางที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจถึงลักษณะของสินค้า วิธีการใช้งานและคุณค่าของสินค้าชิ้นนั้น ๆ โดยการเขียนคำอธิบายสินค้าที่ดีควรแทรก Keyword ที่ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเอาไว้ แน่นอนว่าการเขียนคำอธิบายสินค้าที่จะช่วยให้มี Follower กลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นได้นั้น ต้องทำอย่างสม่ำเสมอคล้ายกับการเขียน บทความ SEO ลงเว็บไซต์นั่นเอง

คำอธิบายภาพหรือ Alt image มีความสำคัญบน Instagram ไม่ต่างจากการใส่ Alt image บนเว็บไซต์ ซึ่งเราสามารถใส่ Alt image ได้ช่วงที่เรากำลังจะโพสต์รูปภาพใหม่ลงไป โดยกดที่คำว่า “การตั้งค่าขั้นสูง” ในบรรทัดด่านล่างสุด ซึ่งคำที่ควรใส่ลงไปควรเป็น Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย

การขายของบนอินสตราแกรมไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องรู้จักเทคนิคที่จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง 6 วิธีการข้างต้น จะช่วยให้ร้านค้าใน IG มีจำนวน Follower ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น

วิธีการทำ SEO บน Instagram สามารถทำได้

อยากให้เว็บไซต์ดาวน์โหลดเร็วขึ้น เพิ่มอันดับ SEO ทำอย่างไรดี

อยากให้เว็บไซต์ดาวน์โหลดเร็วขึ้น เพิ่มอันดับ SEO ทำอย่างไรดี

การทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ถูกค้นเจอง่ายจาก Google สร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มยอดการขายได้ ซึ่งนอกจาการปรับโครงสร้างภายในเว็บไซต์และการทำลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ภายนอกแล้ว การแก้ไขความบกพร่องด้านความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล ยังสำคัญต่อผลการประเมิน SEO ด้วย

เทคนิคในการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ที่ทำให้อันดับ SEO สูงขึ้นได้

1. การเลือก hosting สำหรับการเปิดเว็บไซต์

การเปิดเว็บไซต์ออนไลน์ เราจำเป็นต้องเช่าพื้นที่ทรัพยากรและมีผู้จัดการงานหลังบ้าน ซึ่งบริษัทที่ให้บริการ hosting มีอยู่หลายรูปแบบ หากเลือกแบบ shared hosting จะมีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด แต่จำเป็นต้องมีการใช้ทรัพยากรในเชิงเทคนิคร่วมกัน อาจจะทำให้ประสบปัญหาการดาวน์โหลดข้อมูลต่าง ๆ ล่าช้าได้ กูรูการตลาดแนะนำให้เลือกโฮสติ้งแบบมืออาชีพ เช่น WP Engine และ Cloudways ซึ่งเป็น hosting ที่มีระบบที่มีประสิทธิภาพและมีผู้เชี่ยวชาญดูแล Server ให้อย่างดี

2. การเลือกติดตั้งปลั๊กอิน

การทำเว็บไซต์ SEO จะใช้โปรแกรม WordPress ในการวิเคราะห์และพัฒนาคุณภาพขององค์ประกอบต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ซึ่งหากมีการดาวน์โหลดปลั๊กอินมาใช้งานคู่กัน จะเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการมากขึ้นได้ แต่ก็ไม่ควรดาวน์โหลดปลั๊กอินเกิน 10 รายการ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรของเครื่องและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายด้วย ตัวอย่างปลั๊กอินที่กูรูด้านการตลาดแนะนำ คือ คือ Yoast SEO สำหรับการวิเคราะห์ keyword และคุณภาพของบทความ Easy Social share buttons สำหรับการนำเสนอบทความลงไปในแพลตฟอร์มโซเชียลหลากหลายแบบพร้อมกัน เป็นต้น

3. การปรับขนาดและรายละเอียดรูปภาพ

การอัพเดทรูปภาพที่มีขนาดใหญ่มากเกินจำเป็น นอกจากจะเปลืองทรัพยากรในระบบทำให้ดาวน์โหลดช้าแล้ว ยังส่งผลลบต่อความประทับใจของผู้เข้ามาเยี่ยมชม website ด้วย แม้จะมีรูปถ่ายที่มีการกำหนดค่าความละเอียดสูง แต่ก็สามารถใช้โปรแกรมปรับให้รูปมีไฟล์เล็กลง ลดความละเอียดได้ เช่น โปรแกรม photoscape และ pixlr Express ซึ่งทั้งสองโปรแกรมมีข้อดี คือ ไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายในการใช้งาน การลดขนาดรูปให้มีไฟล์เล็กกว่า 200 KB จะช่วยให้ใช้เวลาในการดาวน์โหลดข้อมูลต่าง ๆ น้อยลงอย่างมาก และทำให้อันดับ SEO เพิ่มขึ้นจากความนิยมใช้งานของกลุ่มเป้าหมาย

เทคนิคในการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

จะเห็นได้ว่าเทคนิคที่กล่าวมานั้น สามารถช่วยให้ระยะเวลาในการดาวน์โหลดข้อมูลน้อยลงได้ หากทำร่วมกันก็จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเพิ่มอันดับการสืบค้นจาก Google ในระบบ SEO ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน จึงเพิ่มค่าปริมาณผู้ชมที่เข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่าง ๆ บ่อยขึ้น ทำให้แบรนด์หรือเว็บไซต์เป็นที่จดจำได้เร็ว ส่งผลให้มียอดขายสินค้าและบริการที่สูงขึ้นตามมาในที่สุด

จะจ้างบริษัททำ SEO ทั้งที ต้องรู้รอบด้าน

จะจ้างบริษัททำ SEO ทั้งที ต้องรู้รอบด้าน

การทำเว็บไซต์ออนไลน์ในปัจจุบันได้รับความนิยมมาก เพราะเป็นช่องทางที่สร้างยอดขายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากมีการพัฒนาเว็บไซต์เป็นระบบ SEO หรือ search engine optimization ตามที่ Google กำหนดแล้ว ก็จะยิ่งทำให้มีอันดับสูงขึ้นในหน้าต่างการสืบค้น จึงเพิ่มอำนาจการแข่งขันเหนือเว็บไซต์อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี

การเลือกบริษัททำ SEO ที่มีคุณภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของเว็บไซต์ควรมีความรู้พื้นฐานรอบด้านและมีความระมัดระวังในการเลือกบริษัทดังต่อไปนี้

1. ต้องรู้ธรรมชาติของผลลัพธ์ SEO

การทำ SEO เป็นการแก้ไขโครงสร้าง เชื่อมลิงก์และสะสมข้อมูลที่อัปเดตใหม่และถูกต้องตามเกณฑ์ของ Google จึงจะทำให้ระบบ algorithm วิเคราะห์ได้ผลที่ดีขึ้น จึงต้องใช้ระยะเวลาในการทำนานมากกว่า 1-2 เดือน และไม่สามารถที่จะล็อกอันดับของเว็บไซต์ได้ หากบริษัทรับจ้างทำ SEO บริษัทใดอ้างว่าสามารถทำให้อันดับสูงขึ้นได้ในเวลารวดเร็ว 1-2 สัปดาห์ และล็อกให้อยู่ในอันดับที่หนึ่งได้ตลอด ย่อมเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงอย่างแน่นอน

2. ลำดับในการพัฒนาเว็บไซต์ SEO

การพัฒนาเว็บไซต์แบบมืออาชีพ ต้องเริ่มมาจากส่วนพื้นฐาน คือ การปรับที่โครงสร้างของเว็บไซต์ ที่เรียกว่า On-Page SEO ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่จะมีทีมงานที่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหานี้ และยังต้องมีการตรวจสอบความผิดพลาดในการเชื่อมโยงลิงก์ในอดีต ก่อนการเพิ่มข้อมูลใหม่ เช่น การผลิตสื่อหรือบทความ โดยเลือก keyword ที่เหมาะสม หากบริษัทมีขั้นตอนในการทำอย่างมืออาชีพ ก็มั่นใจได้ว่าอันดับเว็บไซต์ของคุณจะเพิ่มสูงขึ้น และสร้างยอดขายสินค้าที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน

3. ค่าใช้จ่าย

บริษัทรับทำ SEO จะมีการคิดค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันตามผลลัพธ์ที่การันตีและประสบการณ์ความชำนาญของทีมงาน ซึ่งธุรกิจแต่ละกลุ่มจะมีอัตราการแข่งขันที่มากน้อยต่างกัน เช่น การกระตุ้นการท่องเที่ยวหรือการโรงแรม การซื้อขายสินค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สินค้าแฟชั่น ฯลฯ หากมีอัตราการแข่งขันสูงก็อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าและใช้ระยะเวลานานกว่าในการพัฒนาเว็บไซต์แบบ SEO หากต้องการได้ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมที่สุด ควรจะสอบถามราคาเพื่อเปรียบเทียบระหว่างหลายบริษัท และพิจารณาบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด

4. สัญญาทางกฎหมาย

การทำ SEO โดยทั่วไปใช้ระยะเวลาในการเห็นผล (ทั้งด้านจำนวนลูกค้าและรายได้ที่เพิ่มขึ้น) ชัดเจนที่ระยะ 3-6 เดือนขึ้นไป และหากต้องการให้อันดับอยู่อย่างต่อเนื่องก็ต้องมีการทำอย่างสม่ำเสมอ จึงต้องมีการทำสัญญาที่ให้ผลทางกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ในสัญญาควรจะมีการระบุชัดเจนว่า หากไม่สามารถทำได้ตามข้อตกลงร่วมกัน จะมีค่าชดเชยอย่างไรให้แก่เจ้าของเว็บไซต์บ้าง เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบในภายหลังด้วย

การเลือกบริษัททำ SEO ที่มีคุณภาพ

จะเห็นได้ว่า การเลือกบริษัททำ SEO จะต้องมีความรู้อย่างรอบด้าน ทั้งในการทำ SEO และในด้านกฎหมาย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ และทำให้ได้รับประโยชน์จากการทำ SEO อย่างครบถ้วนในเวลาที่คาดหวัง จึงจะทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืนได้ต่อไป

ค่าสถิติในการชมเว็บไซต์ เกี่ยวข้องกับการทำ SEO อย่างไร

ค่าสถิติในการชมเว็บไซต์ เกี่ยวข้องกับการทำ SEO อย่างไร

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการพัฒนาเว็บไซต์ที่ทำให้อันดับในการสืบค้นสูงขึ้น เช่น เป็น Top5 Top10 ในหน้าแรก ไม่ว่าจะเป็น Yahoo หรือ Google โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาให้แก่ Search Engine เพียงแต่ต้องพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และมีการประชาสัมพันธ์โดยการแนะนำบอกต่อในโซเชียล

การทำ SEO เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ ที่จะช่วยให้มีอันดับในการสืบค้นที่ดีขึ้น นำมาซึ่งโอกาสในการขายได้สูงและมีลูกค้าประจำในระยะยาว ในการพัฒนาเว็บไซต์ จะมีค่าสถิติที่ระบบจะทำการคำนวณให้ เพื่อจะได้นำมาวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการปรับปรุงเว็บไซต์ SEO ให้ดียิ่งขึ้น

ค่าสถิติ 3 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับการทำเว็บไซต์ SEO ที่ควรทราบ คือ

1. ค่า CTR หรือ Click Through Rate เป็นสัดส่วนผู้สนใจคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์ของคุณ เมื่อมีการแสดงผลลัพธ์ในหน้าต่างการสืบค้น

เช่น เมื่อมีการพิมพ์หาเว็บไซต์ ด้วย Keyword ว่า ร้านขายดอกไม้รับปริญญาออนไลน์ จะปรากฏร้านขึ้นมา 10 ร้านในหน้าต่างการสืบค้น หากผู้ที่เห็นเว็บไซต์คุณคลิกเข้ามาชมก็จะทำให้ค่า CTR เพิ่มขึ้น หากมีการคลิกเข้ามาชมมาก หรือ CTR สูง ก็แสดงถึงมีโอกาสในการขายสินค้าได้มาก

การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ค่า CTR เพิ่มขึ้น เริ่มจากการเลือกใช้หัวข้อที่เหมาะสม การใช้ Keyword ที่ตรงกับการสืบค้น หากมีส่วน Meta Description บรรยายเพจคร่าว ๆ ก็จะทำให้มีผู้คลิกเข้ามาอ่านเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น

2. ค่า Time On Site หมายถึงช่วงเวลา หรือความยาวนานที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาอ่านบทความในเว็บไซต์ของคุณ เปรียบเทียบว่าคนที่เข้ามาอยู่ในเพจเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ 5-10 วินาทีแล้วก็คลิกออกไป ย่อมแสดงถึงเนื้อหาที่น่าสนใจน้อยกว่าเพจที่ทำให้ผู้ชมอยู่ได้ยาวนาน 5-10 นาที

ค่า Time On Site ที่มากขึ้น แสดงถึงการมีเนื้อหาสาระที่ตรงใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โอกาสในการขายก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง ซึ่งการเพิ่มค่านี้ทำได้จากการผลิตบทความที่มีเนื้อหาสาระชัดเจน ภาษาเหมาะสมและไม่มีการคัดลอกจากแหล่งอื่น

3. ค่า Bounce Rate คือ เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึงความน่าสนใจของเนื้อหาบทความนั้น ๆ หากบทความมีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ก็จะทำให้คนไม่คลิกเปลี่ยนหน้าไปเพจอื่น ทั้งนี้ อาจเกิดจากมีภาพประกอบ หรือคลิปที่โดดเด่นในหน้านั้นก็เป็นได้ ดังนั้น หากพัฒนาเว็บไซต์ SEO แล้วทำให้ค่าสถิตินี้ดีขึ้น ก็แสดงว่าคุณมาถูกทางแล้ว

จะเห็นได้ว่า ค่าสถิติทั้ง 3 ประเภทนี้ มีความหมายต่อการพิจารณาปรับปรุงเว็บไซต์ SEO ที่มุ่งเน้นให้มีค่าตัวเลขสถิติที่ดียิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจให้แก่คู่แข่งรายอื่น

ค่าสถิติ 3 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับการทำเว็บไซต์ SEO