แนะนำเทคนิคเบื้องต้นทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก ๆ ของ Google

แนะนำเทคนิคเบื้องต้นทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก ๆ ของ Google

สำหรับคนที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองย่อมต้องการให้หน้าเว็บอยู่ในอันดับแรก ๆ เมื่อมีการค้นหาบน Google เพราะถือเป็นการรันตีว่าเว็บไซต์ของเราจะมีคนคลิกเข้ามาเยี่ยมชมอย่างแน่นอน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อยอดจำหน่ายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ของเรา และวันนี้เราจึงมีเทคนิคเบื้องต้นในการทำ SEO ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราได้อันดับดี ๆ บนหน้าค้นหาของ Google มาฝากกัน

  1. การเลือกใช้ ‘คีย์เวิร์ด’ (Keyword Research)

เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการทำ SEO เลยก็ว่าได้ โดยเราสามารถใช้เครื่องมือของ Google ค้นหาคีย์เวิร์ดได้ว่าคำไหนที่ผู้ใช้งานกำลังนิยม Search กัน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถวางแผนต่อไปได้ว่าจะเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีจำนวนการค้นหาสูง ๆ แต่มีคู่แข่งเยอะ หรือจะใช้คีย์เวิร์ดประเภท Long Tail หรือคีย์เวิร์ดที่คนค้นหาไม่เยอะ แต่พอจะมี Traffic และคู่แข่งน้อยกว่า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์

โครงสร้างเว็บไซต์ที่ส่งผลต่อ SEO ที่เราทำอย่างคาดไม่ถึง เพราะบอทของ Google จะเข้ามาเก็บข้อมูลเว็บไซต์ทุกเว็บว่าเกี่ยวกับอะไร ซึ่งโครงสร้างเว็บไซต์จะทำหน้าที่เหมือนไกด์นำทาง ช่วยให้บอทเดินชมเว็บของเราได้อย่างสะดวก โดยโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีควรแสดงข้อมูล 2 เรื่อง ดังต่อไปนี้
2.1 บอกว่าแต่ละเว็บเพจเสนอเนื้อหา, หัวข้อ หรือประเด็นอะไร
2.2 บอกว่าแต่ละเว็บเพจมีการเชื่อมต่อ (Link) อย่างไร เมื่อผู้ชมดูข้อมูลอยู่ที่เว็บเพจหนึ่ง แล้วจะข้ามไปดูเว็บเพจอื่นอะไรได้บ้าง

  1. การปรับแต่งหน้าเว็บเพจ

ต่อให้คอนเทนต์และโครงสร้างเว็บจะดีแค่ไหน แต่หากหน้าเว็บเพจของเราใช้งานยาก ผู้ที่เข้ามาหาสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่เจออย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วเขาก็จะออกจากหน้าเว็บของเราไปอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ ชื่อของคอนเทนต์จึงมีความสำคัญกับหน้าเว็บเพจมาก ควรทำให้ผู้ที่เข้ามารู้ได้ทันทีว่าเขาจะได้อะไรจากคอนเทนต์นี้ และต้องสามารถไปยังหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ได้อย่างลื่นไหล เพราะคงไม่มีใครชอบเว็บที่โหลดช้า กดแล้วไม่ยอมโหลดหรือป็อปอัป 18+ โผล่มาเต็มหน้าจอ

  1. การทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์

เมื่อเราปรับแต่งหน้าเว็บเพจหรือปัจจัยภายในของเว็บไซต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปคือการทำ Backlink เพื่อทำให้เว็บไซต์อื่น ๆ ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์เรา ซึ่งจะช่วยให้เว็บของเรามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และยังส่งผลต่ออันดับบนหน้าการค้นหาของ Google ด้วย โดยสามารถทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
4.1 เขียนคอนเทนต์คุณภาพมากพอให้เว็บอื่นนำไปอ้างอิง
4.2 สร้างรูปภาพ หรือสื่อวิดีโอลงไปในบทความ เพื่อให้ผู้อื่นนำไปใช้อ้างอิงกลับมาที่เว็บ
4.3 จ้างเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ใส่ Backlink กลับมาหาเรา

  1. การตรวจวัดผล

ปัจจุบัน Google มีเครื่องมือหลายอย่างที่เราสามารถเข้าไปใช้เพื่อดูสถิติและตรวจวัดผลการทำ SEO ของเราได้ ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics, Google Search Console และ Google Data Studio ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้ทั้งอันดับของเว็บไซต์ของเราในหน้าการแสดงผลของ Keyword แต่ละคำ, จำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหาบน Google รวมถึงจำนวนผู้กดเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราด้วย

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

ปัจจุบันโลกแห่งเทคโนโลยี มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด ซ้ำยังเป็นตัวช่วยในการหารายได้เข้ากระเป๋าได้อีกไม่ยาก จะเห็นได้จากคนยุคใหม่ ที่เลือกหยิบสื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการถ่ายทอดไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต กิจกรรมประจำวัน สิ่งที่ชอบทำ จนสามารถกลายมาเป็นอีกหนึ่งช่องทางอาชีพสร้างรายได้

การทำ Blog จึงเป็นกลายเป็นช่องทางยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่จะเลือกใช้ถ่ายทอดเรื่องราว หาก Blog ที่สร้างมีความน่าสนใจมากเท่าไร ก็จะยิ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่เว็บไซต์สำหรับหารายได้มากเท่านั้น ฉะนั้น ไม่ใช่เพียงการทำ Blog ให้น่าสนใจแต่เพียงอย่างเดียว แต่การทำเว็บไซต์ให้สามารถค้นหาได้ง่าย และรวดเร็ว ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

SEO จึงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างเว็บไซต์ เพราะหากทำ SEO ประสบความสำเร็จมากเท่าไร โอกาสในการสร้างรายได้ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น การทำ SEO ชื่อเต็ม ๆ ว่า Search Engine Optimization คือ การทำให้กระบวนการค้นเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มอย่าง Google ปรากฏเว็บไซต์ในอันดับต้นของการค้นหา กล่าวคือ ยิ่งมีการทำ SEO มากเท่าไร เมื่อเกิดการค้นหาข้อมูลผ่าน Google ผ่านคำหรือ Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของธุรกิจนั้น ก็จะแสดงผลเว็บไซต์นั้น ๆ มาเป็นอันดับต้น ๆ ของการค้นหา และจะช่วยดึงดูดความน่าสนใจของผู้ค้นหา ให้เกิดความอยากกดเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ต่อไป

การทำ SEO ถือเป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจบนโลกออนไลน์อย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่ยังคงใช้การค้นหาเว็บไซต์ผ่านแพลตฟอร์ม Search Engine มากกว่าค้นหาผ่าน Social Media ซึ่งการทำ SEO แบบฉบับง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพียงทำตามขั้นตอนดังนี้

1. วางแผน

เริ่มวางแผนก่อนเลยว่า จะทำ SEO ด้วยวิธีการใด ทำด้วยตัวเองหรือจ้างเอเจนซี่เป็นผู้ดำเนินการ เพื่อควบคุมงบประมาณค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น หากจำเป็นต้องจ้างเอเจนซี่ ควรต้องกำหนดขอบเขตระยะเวลาไว้อย่างชัดเจน เช่น จะรายงานผล SEO กี่ครั้งต่อเดือน หรือใน 1 เดือนจะสามารถเปลี่ยน Keyword ได้กี่ครั้ง เป็นต้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจน

2. กำหนดคำ Keyword สำคัญ

หาก Blog ของเราถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ในรูปแบบของสายกิน เว็บไซต์ธุรกิจของเราก็ต้องมุ่งเน้นในการของกิน คำ Keyword ที่ใช้ก็ต้องมีความเชื่อมโยงหรือสอดคล้องกับเรื่องกินเช่นเดียวกัน ยิ่งหากสามารถสร้างคำเฉพาะได้มากเท่าไร เว็บไซต์คู่แข่งก็จะยิ่งน้อยลง การค้นหาของผู้คนก็จะเจอได้ง่ายขึ้นนั้นเอง

3. เว็บไซต์ต้องดึงดูด

ถ้าทำ Blog สวยงาม ดึงดูดให้คนเข้ามาติดตามมากเท่าไร ก็ควรต้องทำเว็บไซต์ให้เกิดความต้องการในตัวสินค้าหรือบริการมากขึ้นเท่านั้น เพราะคนที่จะเข้ามาเป็นลูกค้า ก็คือผู้ติดตามที่มาจาก Blog และเมื่อเข้ามาในเว็บไซต์แล้ว เขาเหล่านั้นก็หวังที่อยากจะเจอ อยากจะได้ อยากจะซื้อ ตามจากที่เห็นใน Blog เช่นกัน

หากสามารถสร้าง Blog ได้จนมีผู้ติดตาม การสร้างเว็บไซต์และทำ SEO ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ เพียงต้องอาศัยระยะเวลาในการทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ยิ่งทำมากเท่าไร เว็บไซต์ก็จะกลายเป็นเว็บอันดับต้นมากเท่านั้น และไม่ใช่เพียงจะดึงความสนใจของผู้ค้นหาให้อยากกดเข้ามาดูในเว็บไซต์แล้ว แต่ยังเป็นการช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้อีกทางด้วย

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO หรือไม่

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO

สมมุติว่าเราขายกล้วยไม้พันธุ์หวาย เมื่อคนต้องซื้อเขาก็จะพิมพ์คำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดว่า “ กล้วยไม้หวาย ” แล้วเรานำเอาชื่อนี้หรือคีย์เวิร์ดนี้มาตั้งเป็น www.กล้วยไม้หวาย.com สิ่งนี้คือชื่อโดเมน มีคำถามที่เป็นข้อถกเถียงกันว่า ชื่อโดเมนที่มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นมีผลต่อผลลัพธ์การค้นหาใน Google หรือมีผลต่อ SEO ( การปรับให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรก ๆ ของ Google ) หรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญตอบให้

John Mueller ผู้เชี่ยวชาญด้าน Webmaster Trends Analysts จาก Google ได้กล่าวไว้ว่า ไม่จำเป็นเลย เราจะไม่ได้คะแนนพิเศษในการจัดอันดับ และการมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมนก็ไม่ได้หมายความว่า เว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดมากไปกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ไม่ได้มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้น จงใช้เวลาในการปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ SEO เพื่อผลลัพธ์ระยะยาวดีกว่า

เว็บไซต์อย่าง Lazada ก็ไม่ได้มีชื่อว่า shop ( หรือคีย์เวิร์ดที่แปลว่าซื้อ ) อยู่ในชื่อโดเมน Shoppee ก็เป็นคำสะกดผิด Google เป็นคำมาจากภาษาอื่น Facebookเป็นคำผสมที่คิดขึ้นมาใหม่และไม่มีในพจนานุกรม และเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้ชื่อเฉพาะมาตั้งเป็นแบรนด์ ไม่มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นแต่อย่างใด

www.hotels.com ชื่อโดเมนนี้ขายได้ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ

การเห็นคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมนแพง ๆ และมีชื่อเสียงอย่าง hotels.com, voice.com, healthinsurance.com อาจทำให้เราเข้าใจว่าต้องมีคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมนและมีผลต่อ SEO แน่นอน ความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ชื่อก็เป็นเพียงชื่อ เพียงแต่คำสามัญแบบนี้จะทำให้ราคาของโดเมนสูงถึงหลักล้านเหรียญเลยทีเดียว ใครที่ทำธุรกิจซื้อขายโดเมนจะรู้ดีว่ามันแค่แพงอย่างเดียวไม่มีผลต่อ SEO แต่อย่างใด

ข้อดีของการมีคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมน

www.กล้วยไม้หวาย.com นั้นจดจำง่ายกว่า www.siriluk.com แน่นอน อีกทั้ง www.กล้วยไม้หวาย.com ยังดูครอบคลุมตลาดและเป็นมืออาชีพ คนที่เข้ามาในเว็บไซต์อาจมองว่าเป็นตลาดขายกล้วยไม้หวายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็เป็นได้

ข้อเสียของการมีคีย์เวิร์ดอยู่ในโดเมน

หากเราต้องการขายดอกไม้อย่างอื่นล่ะ www.กล้วยไม้หวาย.com ก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ การเปลี่ยนชื่อโดเมนนั้นทำไม่ได้นอกเสียจากว่าจะต้องจดชื่อใหม่เท่านั้น www.siriluk.com จะได้เปรียบกว่าหากต้องการขายดอกไม้หลากหลาย อีกทั้ง siriluk ยังเป็นชื่อแบรนด์ที่ดีด้วย คนสมัยนี้นิยมซื้อของจากแบรนด์ที่ตัวเองคุ้นเคยและไว้ใจ คนอาจสงสัยว่า www.กล้วยไม้หวาย.com คือแบรนด์อะไร จุดนี้อาจทำให้เสียภาพลักษณ์หรือความชัดเจนไป

การทำ SEO ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น หากพิมพ์ว่า “ กล้วยไม้หวาย ” แล้วเจ้าของเว็บไซต์ไม่ปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ SEO www.กล้วยไม้หวาย.com ก็จะไปอยู่หน้าท้าย ๆ ของ Google อยู่ดี

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

Search Engine คือเครื่องมือสำหรับค้นหาเนื้อและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการ เปรียบเสมือนห้องสมุดที่เก็บเรื่องราวต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซด์ และเนื้อหาต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยผู้สนใจที่ต้องการค้นหาข้อมูลก็สามารถพิมพ์คำหลักในแถบค้นหา จากนั้นอัลกอริทึม (Algorithm) จะทำการค้นหาในคลังข้อมูลด้วยซอฟแวร์เครื่องมือที่เรียกว่า Web Crawler หรือ Web Spider หรือ Web Robot ซึ่งมีเส้นใยเครือข่ายโยงไปมา จากนั้นก็จะดึงเอาลิ้งก์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำค้นหานั้นออกมาแสดงบนหน้าแสดงผลการค้นหา เรียกว่า Search Engine Results Pages (SERPs) ส่วนการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือการเพิ่มประสิทธิภาพของการค้นหา มีบทบาทสำคัญในการทำให้เว็บไซด์หรือเพจของคุณได้รับการจัดอันดับการค้นหาในอันดับต้น ๆ ของ SERPs เป็นการเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะค้นพบธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น

AI หรือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความฉลาดเหมือน (หรืออาจจะเหนือกว่า) มนุษย์ เพราะสามารถทำงาน ตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาบางอย่างได้ด้วยตนเองเหมือนมนุษย์ ในปัจจุบันมีการนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์บริการ และ Application ต่าง ๆ รวมถึงการทำงานของ Search engine อย่าง Google ด้วย ในปัจจุบันความสามารถของ AI มีความเฉพาะเจาะจงเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น AI ในรถยนต์จะทำหน้าที่ควบคุมการขับรถเพียงอย่างเดียว ในกรณีหุ่นยนต์ก็จะกำหนดแค่เฉพาะการรับคำสั่งเท่านั้น อย่างในกรณีของ Search Engine AI ก็จะทำหน้าที่ประมวลผลจากคำค้นหาที่ผู้ใช้งานระบุ เพื่อค้นหาลิงค์ที่มีบทความ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ ได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานให้มากที่สุดนั่นเอง

โดย AI ที่มีผลต่อ SEO มากที่สุดในปัจจุบันคือ Rank Brain ของ Google เลย เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดอันดับคุณภาพของเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อคัดเนื้อหาที่จะเเสดงให้ผู้ใช้งานเห็น สามารถทำงานได้ตลอดเวลาไม่มีวันเหนื่อย หรือหยุดพัก เรียกว่า Rank Brain สามารถทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง รองรับทุก ๆ บทความ SEO ที่เพิ่มได้ตลอดเวลาจากทั่วทุกมุมโลก กล่าวได้ว่าการทำงานของ AI นี้จึงเกี่ยวข้องกับ SEO โดยตรง ดังนั้นการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการขึ้นอันดับการค้นหาเป็นลำดับต้น ๆ ได้จริงจึงต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับ Algorithm นี้ให้ดีด้วย

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ AI-ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น อย่าง

– Market Brew เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยวิเคราะห์เหตุผลในการจัดอันดับของเว็บไซต์ หรือผลลัพธ์ของเครื่องมือการค้นหา (SERPs) ช่วยให้สามารถปรับแผนการทำ SEO ได้ดีขึ้น

– Publicity.ai AI ที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่ง และรูปแบบการตลาดของผู้ประกอบการ ทำให้สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำตลาด เป็นการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และแสดงผลลัพธ์ในทุก ๆ ครั้งที่ีมีความคืบหน้าอีกด้วย

– SEMrush เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยวิเคราะห์ผลการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับการทำ SEO อย่าง Keyword, การทำ Domain และรายงานผลการค้นหา Keyword Magic Tool ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายและสะดวกมากขึ้น

เพราะความก้าวหน้าหน้าและพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจรูปแบบการทำงานด้านเทคโนโลยีอย่าง AI จึงถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อการทำ SEO ทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง

seo business

นำเสนอและขายสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์

เครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญมาก ๆ สำหรับธุรกิจออนไลน์ เพราะถ้าหากว่าเจ้าของแบรนด์เข้าใจและรู้จักการใช้งานเครื่องมือสำคัญตัวนี้เป็นอย่างดี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ธุรกิจมีโอกาสขายและทำกำไรได้มากขึ้น ในกลางกลับกันหากไม่เข้าใจและไม่ใช้เลยธุรกิจก็อาจประสบปัญหาและกลายมาเป็นผู้แพ้ในสงครามการตลาดออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงได้ในที่สุด

SEO กับการใช้เพื่อหาลูกค้า

จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งคือการทำ Keyword Research สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในการตลาดของธุรกิจออนไลน์ก็คือ Keyword การทำ SEO โดยการทำ Research มาก่อน จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น แถมยังเข้าถึงได้ตรงกลุ่มที่ Match กับสินค้าได้ลงตัวมากกว่าด้วย อย่างนั้นแล้วก่อนจะเริ่มทำ SEO อย่างจริงจัง ธุรกิจควรที่จะหาดูก่อนว่า Keyword ที่ควรใช้นั้นคืออะไรกันแน่ การได้คำค้นหาที่ตรงกับสินค้าของธุรกิจจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าหาเราเจอได้มากกว่าเดิม

เทรนด์เป็นเรื่องสำคัญ แค่การใช้ Keyword ที่ตรงอาจไม่พอ ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงเทรนด์การใช้คำคำนั้นเพื่อการค้นหา โดยการดูด้วยว่าคำที่เราเลือกมานั้นมีปริมาณในการค้นหาอย่างไร เวลาที่เหมาะสมในการวิเคราะห์เทรนด์ก็คือ 12 เดือน และดูไปถึงว่าในแต่ละเดือนมีประมาณการค้นหาประมาณเท่าไร ยิ่งกับสินค้าที่ขายเป็น Season ตรงนี้ยิ่งต้องเอาไปใช้ให้ตรงช่วงเวลาด้วย

เข้าใจลูกค้า ขายได้ง่ายกว่า

เข้าไปให้ถึงที่ที่ลูกค้าอยู่ การที่จะเริ่มทำความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องรู้ให้ได้ว่ากลุ่มลูกค้าของเรานั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งที่อยู่นี้หมายถึงในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Social Media หน้าเว็บหรือเพจอะไร การมีข้อมูลตรงนี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ที่อยู่นี้เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ทุกธุรกิจจำเป็นจะต้องหาให้เจอให้ได้

ลูกค้าคุยอะไรกันเราต้องรู้ โดยปกติแล้วสิ่งที่ลูกค้าคุยหรือแชร์กันในสื่อออนไลน์คือการนำเสนอความต้องการ ความคาดหวัง และความพึงพอใจของพวกเขา ทั้งหมดที่ลูกค้าคุยกันคือโจทย์ที่ธุรกิจสามารถเอามาใช้ในการทำ Content ได้ และเมื่อรวมเข้ากับ Keyword ที่ผ่านการศึกษามาแล้ว ก็จะยิ่งทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

เพราะการเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าและรู้ว่าเทรนด์ในการหาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกคืออะไร จะช่วยให้ธุรกิจสามารถที่จะกำหนด Keyword ได้ตรงกับการค้นหามากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการนำไปใช้ในการทำ SEO ของธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ

ข้อดีของการจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO

ข้อดีของการจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO

บรรดาเว็บไซต์ธุรกิจชั้นนำต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ค้นพบได้เร็วใน Google ส่งผลดีต่อการเพิ่มยอดขายทางออนไลน์ และกำลังคิดที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญรับทำ SEO เข้ามาช่วยปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหาของ Google แต่ยังลังเลว่าการลงทุนนี้จะเกิดผลดีต่อธุรกิจหรือไม่ อยากประหยัดต้นทุนลองทำ SEO ด้วยตัวเองโดยไม่มีเวลาหรือไม่มีประสบการณ์จะทำได้จริงหรือ เรามาหาคำตอบไปด้วยกัน

1.เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย

การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO จะช่วยให้มีการทำงานที่เป็นระบบ มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน มีประสบการณ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ด้วยกลยุทธ์ SEO เพื่อผลักดันเว็บไซต์ของคุณขึ้นเป็นผู้นำในหน้าผลลัพธ์ของ Google จึงช่วยให้มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ มีโอกาสนำเสนอสินค้าหรือบริการก่อนคู่แข่ง ส่งผลให้เพิ่มโอกาสในการขายได้ก่อนอย่างแน่นอน

2.รู้วิธีการทำ SEO ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

ความสำเร็จธุรกิจไม่ใช่เรื่องที่จะมาคาดเดาหรือลองถูกลองผิดให้เสียเวลาเพราะจะทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ไปได้ รวมถึงอาจสร้างความเสียหายต่อธุรกิจได้ด้วย ตัวอย่างเช่น การสร้างลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ โดยเน้นจำนวนมากแต่ไม่คัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์ การสร้างลิงก์ผิดประเภทกลายเป็นผลเสียทำให้เว็บไซต์ขาดความน่าเชื่อถือและอาจถูกแบนจากการจัดอันดับเพื่อเป็นการลงโทษด้วย ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำวิธีการทำ SEO แบบสายขาวช่วยให้เข้าสู่การจัดอันดับอย่างราบรื่นและรวดเร็วได้

3.โฟกัสกับธุรกิจของคุณโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด

เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญรับหน้าที่การทำ SEO เพื่อยกระดับเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูงแล้ว เจ้าของธุรกิจสามารถวางใจและมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจให้ก้าวหน้าเติบโตได้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะต้องหาเวลาไปปรับแต่งเว็บไซต์ เขียนเนื้อหาบทความใหม่ ไปจนถึงสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น ๆ การไว้ใจให้ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ ช่วยลดความเครียดให้กับเจ้าของธุรกิจไปได้มากทีเดียว

ในกรณีที่ต้องการทำ SEO ด้วยตัวเอง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร

  • ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือไม่มีค่าใช้จ่าย เจ้าของธุรกิจอาจไม่มีความเป็นมืออาชีพก็จริง แต่ความรู้พื้นฐานอาจปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีคุณภาพดีขึ้นและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แบรนด์ได้ไม่มากก็น้อย ช่วยประหยัดต้นทุนค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญไปในตัว
  • เนื่องจากเจ้าของธุรกิจรู้จักสินค้าหรือบริการของตนเองดีที่สุด ในขั้นตอนการเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาจึงเลือกคำจำกัดความที่ตรงใจลูกค้า ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้ผู้เชี่ยวชาญทำความเข้าใจในตัวสินค้าและวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เข้ากัน
  • เจ้าของธุรกิจยังทราบจุดเด่นของแบรนด์และผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดีจึงรู้ว่าบทความแบบไหนเหมาะกับเว็บไซต์ของตนเอง แต่การทำ SEO อาจทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจและส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ทำให้โดนแบนได้

จากบทความข้างต้นสรุปได้ว่าผู้เชี่ยวชาญการทำ SEO มีความรู้และประสบการณ์สามารถตัดสินใจอย่างชาญฉลาดว่าควรทำอย่างไรจึงปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาบน Google ส่งผลให้อันดับอยู่ในหน้าแรก ๆ และจำนวนผู้ค้นหามองเห็นของคุณเพิ่มมากขึ้น

9 ระบบ AI Algorithm ของ Google ที่สำคัญต่อการทำ SEO

9 ระบบ AI Algorithm ของ Google ที่สำคัญต่อการทำ SEO

AI Algorithm หรือระบบการค้นหาของ Google คือส่วนสำคัญที่สุดสำหรับการทำ SEO เนื่องจาก ทุกครั้งที่เราทำ SEO จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบโดยระบบ AI Algorithm ของ Google เสียก่อน หากเว็บไซต์หรือเนื้อหาของเราผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การทำ SEO ให้ติดอันดับบน Google Search ก็จะง่ายมากยิ่งขึ้น 

ในวันนี้เรามาทำความรู้จัก AI Algorithm ของ Google แต่ละ Bot กัน เพื่อให้เราได้ทราบว่า สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ หากอยากให้ SEO ของเราติดอันดับต้น ๆ 

1.Panda 

ระบบตรวจสอบการคัดลอกเนื้อหา ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดอันดับของเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพตลอดจนเว็บไซต์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อผู้เข้าชมให้หายออกไปจาก Google ด้วยเหตุนี้คุณภาพของเนื้อหาสำนวนที่ใช้ รวมไปถึง แหล่งข้อมูล จึงต้องมีความน่าเชื่อถือทั้งหมด 

2.Penguin 

ระบบเพนกวิน คือระบบตรวจสอบ Backlink ที่เรานำมาใช้ว่ามีคุณภาพ เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเนื้อหามากน้อยเพียงใด ตลอดจนความน่าเชื่อถือของ Backlink ซึ่งส่งผลการต่ออันดับ SEO โดยตรง

3.Pirate

ระบบที่คอยตรวจสอบมาตรฐานและการละเมิดลิขสิทธิ์ของเนื้อหา รูปภาพ และทุกสิ่งที่เรานำมาใช้งานภายในเว็บไซต์ ซึ่งหากตรวจพบการละเมิดลิขสิทธิ์ เว็บไซต์ของเราก็จะถูกลดระดับการมองเห็นลงในทันที

4.Hummingbird

นกฮัมมิ่งเบิร์ดคือระบบตรวจสอบการใช้ Keyword ล่วงหน้า ที่จะแสดงผลให้เราได้เห็นจากช่องการค้นหาบน Google เพื่อประมวลผลให้เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง ปรากฎในระบบการค้นหาของเรานั่นเอง

5.Pigeon

ระบบจัดอันดับสิ่งที่ผู้คนค้นหาตามพื้นที่ต่าง ๆ มากที่สุด ซึ่งพิราบจะแสดงหน้า เพจและเว็บไซต์ ของ ร้านค้า หรือบริการที่ผู้คนสนใจมากที่สุด ขึ้นให้ผู้ค้นหาได้เห็นเป็นอันดับแรก

6.Mobile Friendly Update

ระบบนี้ทำงานคล้ายกับระบบพิราบ เพียงแต่ระบบ Mobile Friendly จะจัดอันดับร้านค้า หรือบริการจากสถิติการค้นหาผ่าน Google Search บนโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

7.RankBrain

ระบบการค้นหากลุ่มคำ เพื่อคัดกรองเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงตามความต้องการของผู้ค้นหา โดยระบบจะประมวลผลจากเนื้อหาภายในบทความที่เรานำมาลงบนเว็บไซต์ หากมีคำที่ตรงหรือสอดคล้องกับคำที่ใช้ค้นหา เว็บไซต์นั้น ๆ ก็จะติดอันดับต้น ๆ ของ SEO 

8.Possum

ระบบนี้ทำงานเกี่ยวกับการจัดเตรียมและแสดงข้อมูลเฉพาะร้านค้าหรือบริการที่อยู่ใกล้เคียงผู้ค้นหา เพื่อให้ร้านค้าและบริการเหล่านั้นขึ้น SEO อันดับต้น ๆ 

9.Fred

คือระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาล่าสุด เพื่อตอบตรวจสอบเนื้อหาบทความที่มีคุณภาพ ตลอดจนประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ เพื่อจัดอันดับให้อยู่ 1-3 ของระบบการมองเห็นบน Google นั่นเอง 

แม้ว่าการทำ SEO ให้ได้ประสิทธิภาพนั้น จะต้องผ่านการตรวจสอบมากมาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากเราสามารถทำตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ เว็บไซต์ของเราก็จะติดอันดับต้น ๆ ของ SEO ได้นานมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นข้อได้เปรียบและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของเราได้อีกด้วย

ชี้ 5 ข้อดีของการทำ SEO สายเทา

ชี้ 5 ข้อดีของการทำ SEO

แน่นอนว่าการปรับตัวในการทำธุรกิจนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ SEO “สายเทา” และปรับเปลี่ยนในการทำการตลาดออนไลน์ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะคุ้นหูคุ้นตากันเป็นอย่างดีในเรื่องของการรับลงโฆษณานั่นเอง ส่วนการเรียนรู้และการศึกษาก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยให้เข้าถึงบริบทในการรับลงโฆษณา

1. “ใช้งบประมาณน้อยกับผลลัพธ์นั้นเกินคุ้ม” : เงินลงทุนคือสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบจะจัดระเบียบและวางแผนให้เป็นอย่างดี รวมถึงส่วนการโฆษณาทำการตลาดทางโลกออนไลน์ ถ้าหากเปรียบเทียบกับการลงสื่ออื่นๆ ก็คือ หนังสือพิมพ์หรือป้ายโฆษณาต่างๆแล้วใช้การรับโปรโมทเว็บ ซึ่งเฟสบุ๊คนั้นจะมีการลงทุนที่ใช้เงินน้อยกว่า และได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า สามารถนำเงินทุนและกำไรไปต่อยอดได้มากกว่าเดิม เพราะคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้เวลาอยู่กับโลกออนไลน์ ที่ไร้ขีดจำกัดรอบด้านทั้งสถานที่และช่วงเวลา จึงยกให้สื่อออนไลน์มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนี้

2. “เข้าถึงง่ายและครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย” : เว็บไซต์และเฟสบุ๊คในยุคสมัยนี้สามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงกันได้ง่าย ซึ่งเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลแก่ผู้คนมากมายที่ให้ความสนใจและล็อคอิน เพื่อติดตามข่าวสารทุกวันแบบรอบด้าน ทำให้บริหารจัดการและกระจายสื่อให้ผู้รับรู้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถจำกัดและครอบคลุมเป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยมด้วย

3. “การดำเนินการที่ง่ายและสะดวกสบาย” : การใช้บริการรับลงโฆษณานั้นสามารถดำเนินการต่างๆ ได้อย่างง่าย แถมยังประหยัดเวลาและสะดวกรวดเร็วอีกด้วย แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ต้องมีการแจกโบรชัวร์หรือโปรโมทผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งแปะโฆษณาตามฝ่าผนังริมทางเดิน อย่างว่ายุคสมัยนี้สามารถโปรโมทเว็บผ่านทางออนไลน์ได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังสามารถอัปเดตข้อมูลได้ด้วยตนเอง โดยใช้เวลาไม่นาน

4. “เห็นผลรวดเร็ว Backlink สายเทา” : เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อผ่านโลกออนไลน์ ถึงทำให้สิ่งที่ต้องการนำเสนอนั้นเข้าถึงผู้คนได้ง่ายกว่าเดิม อีกทั้งยังมีการรับลงโฆษณาด้วย โดยกลุ่มเป้าหมายนั้นมีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ถือว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมและวางแผนจัดการได้โดยตัวเอง เพื่อกระตุ้นยอดและทำให้เว็บเป็นที่รู้จักมากขึ้น

5. “เพิ่มลูกค้าได้อย่างยั่งยืน” : ผู้คนสามารถค้นหาและติดตามเว็บไซต์ได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่น เป็นเว็บแทงบอลออนไลน์ โดยในเว็บนั้นมีทั้งให้ทีเด็ดบอลเต็ง, บอลสเต็ป และวิเคราะห์บอล เมื่อมีคนเสิร์ช คำว่า “วิเคราะห์บอล” ใน Google ซึ่งการทำ SEO จะช่วยผลักดันให้เว็บแทงบอลออนไลน์ของคุณขึ้นมาอยู่ที่หน้าแรกของการเสิร์ช ทำให้เว็บหรือธุรกิจของคุณกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและดึงดูดผู้คนที่เสิร์ชเป็นอันดับต้นๆ

นอกจากนี้ยังทำได้อีกหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างหรือใช้บริการบริษัทที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำการตลาดออนไลน์และรับลงโฆษณาสายเทา แต่อย่าลืมว่านำเสนอคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพก็เป็นส่วนสำคัญให้การดึงดูดกลุ่มลูกค้า อาทิเช่น การนำเสนอวิดีโอ, รูปถ่าย, และบทความหรือคอนเท้นต์อื่นๆ ที่จะทำให้เกิดความน่าสนใจ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในเพิ่มมูลค่าให้กับเว็บ

SEO มีกี่แบบ พร้อมหลักการทำงานเพื่อให้เว็บไซต์เติบโต

SEO มีกี่แบบ พร้อมหลักการทำงานเพื่อให้เว็บไซต์เติบโต

จุดประสงค์หลักของการทำเว็บไซต์คือต้องการให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ตนเองทำ ยิ่งเป็นเว็บไซต์ธุรกิจด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสในการเติบโตมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย, เงินโฆษณาและอื่น ๆ อีกมาก จึงเป็นที่มาของการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง google นั่นเอง

SEO มีกี่ประเภท

SEO โดยหลัก ๆ จะมีด้วยกัน 3 ประเภท ซึ่งทั้ง 3 ประเภทก็มีวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือทำอย่างไรให้คนรู้จักและเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้มากที่สุด

1.SEO- On Page

SEO On Page คือการปรับแต่ง หน้าตาของเว็บไซต์ให้ google เป็นที่รู้จักหรือค้นหาได้โดยง่าย วิธีการทำหลัก ๆ คือจะต้องทำตามที่ google กำหนดหรือตรงตามกฎที่ระบุไว้ เชื่อว่าคนท่องโลกอินเทอร์เน็ตมากกว่า 80-90% นิยมใช้ google เป็น Search Engine หรือใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหามากที่สุด 

2.SEO- Off Page 

SEO-Off Page คือการอาศัยเทคนิคจากภายนอก เพื่อสร้างการค้นหาให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น เทคนิคการทำ Backlink 

3.Technical SEO

Technical SEO คือ SEO ที่มีเทคนิคและวิธีการทำนอกเหนือไปจาก SEO-On Page และ SEO-Off Page เช่น SEO Friendly, แผนผัง XML, การสร้างเว็บไซต์ให้รองรับทั้งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เคลื่อนที่ เป็นต้น

หลักการทำงานของ SEO เพื่อการเติบโตของเว็บไซต์

เว็บไซต์คุณภาพ

เว็บไซต์ที่ดีควรมีคุณภาพ ทั้งในเรื่องของเนื้อหา keyword มีความปลอดภัย สามารถใช้งานได้ดีทุกระบบปฏิบัติการทั้ง windows, iOS และ Android โหลดเร็ว ซึ่งทาง google จะมีวิธีในการประเมินและให้คะแนนเพื่อจัดลำดับ Ranking ของเว็บไซต์ โดยยึดหลักตามกฎหรือข้อกำหนดที่ทาง google กำหนดมา

1.ดึงดูดคนเข้าเว็บไซต์

เมื่อเว็บไซต์ที่ทำการสร้างมามีคุณภาพเป็นที่รู้จัก ก็จะช่วยในการดึงดูดเข้าเว็บไซต์จำนวนมากได้ อาจใช้วิธีการทำ backlink เพื่อไปยังเว็บไซต์ที่ถูกกล่าวถึง เพื่อสร้าง Traffic จำนวนมาก

2.คอนเทนต์ดี มีประโยชน์

หลักการค้นหาของ google คือ การประมวลผลหาผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานหรือการค้นหาข้อมูลที่ดีมีคุณภาพ สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้งาน เช่น หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับการทำปุ๋ย เว็บไซต์ก็ควรจะมีขั้นตอนหรือวิธีการใช้ปุ๋ย ผลลัพธ์ของการใช้ปุ๋ย ประโยชน์ของปุ๋ย เป็นต้น การเลือกใช้ keyword ที่ตรงกับเนื้อหารวมไปถึงการใส่ keyword ให้เหมาะสม ไม่เยอะเกินไป ดูให้เป็นธรรมชาติ ไม่ยัดคีย์ เพราะการที่ใส่คีย์เวิร์ดจนเยอะเกินไปอาจทำให้ google มองเป็นการ spam อาจส่งผลให้เกิดการแบนหรือลดการมองเห็นจาก google ได้

หากเรารู้ถึงวิธีการทำ SEO แล้ว อย่าลืมที่จะสร้างเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและปฏิบัติตามกฎของเครื่องมือในการค้นหายอดนิยมอย่าง google ให้ดี เพราะมิเช่นนั้นแล้วนอกจากอันดับเว็บไซต์จะไม่อยู่ในลำดับที่ดีแล้ว อาจโดนทาง google แบนหรือปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ 

5 เทคนิคสร้าง SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

5 เทคนิคสร้าง SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google

ใครที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็คงอยากให้ลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูลผ่าน Google พบหน้าเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก (จริงไหมคะ) การสร้างเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกบน Google จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะเราทุกคนต่างมีคู่แข่งที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันค้นหา แต่ก็ไม่ยากมากเกินกว่าจะทำได้ ขอเพียงเราเข้าใจเรื่องระบบการสืบค้น หรือการทำ SEO ให้ดี เว็บไซต์ก็จะติดอันดับต้น ๆ ได้ไม่ยากค่ะ

วันนี้เราจึงสรุป 5 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติด SEO บน Google แพลตฟอร์มมาฝากกัน คือ

1.สร้างคีย์เวิร์ด (Keyword) ให้โดนใจ
สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราต้องเลือกให้ดี คือ การใช้คีย์เวิร์ดที่ดี เริ่มต้นจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าว่าเป็นเช่นไร ต้องการสิ่งใด และลูกค้าส่วนใหญ่จะพิมพ์ค้นหาด้วยการใช้ประโยคแบบไหน หากเราเข้าใจดีแล้ว การสร้างคีย์เวิร์ดก็จะช่วยให้ระบบการค้นหา SEO บน Google แสดงข้อมูลเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ

2.Backlink ต้องน่าเชื่อถือ
ความน่าเชื่อถือของลิงก์ที่เรานำมาใช้จะต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง รวมถึงการแชร์เนื้อหาออกไปยังสื่อต่าง ๆ ก็ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เขียนด้วยเช่นกัน การเลือกใช้ Backlink จึงไม่เพียงช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการและอ่านข้อมูลบนเว็บไซต์มากขึ้นด้วย

3.ออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจ
ในยุคปัจจุบัน Google ให้ความสนใจในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์เป็นอย่างมาก เพราะผู้ใช้งานร้อยละ 90% ที่เข้าสู่เว็บไซต์หนึ่ง ๆ มักต้องการข้อมูลครบถ้วน รวดเร็ว ตลอดจนประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากการใช้งาน การออกแบบเว็บไซต์ให้น่าสนใจจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของระบบการค้นหา SEO

4.บทความดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
เนื้อหาข้อมูลที่นำมาลงในเว็บไซต์จะต้องชัดเจนและเกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน ทั้งนี้การเขียนเนื้อหายังต้องเพิ่มคีย์เวิร์ดที่ดีแทรกลงไป เพื่อให้เข้าถึงผู้คนที่สนใจบทความดังกล่าวด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การอัปเดตข้อมูลให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ เพียงเท่านี้หน้าเว็บไซต์ก็จะขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ แล้ว

5.ใช้สื่อโซเชียล (Social Media) ให้เกิดประโยชน์
การใช้สื่อโซเชียลมีส่วนสำคัญมากถึง 90% ดังที่เราแนะนำไปข้างต้นว่า ในแต่ละบทความที่เราเขียนนั้นจำเป็นต้องมีคีย์เวิร์ด รวมถึง Backlink ที่เกี่ยวข้องใส่ไว้เสมอ เพื่อให้ทุกครั้งที่มีการแชร์ ผู้ใช้งานก็จะพบเห็นบทความของเราได้มากขึ้น ตลอดจนการเข้าถึงเว็บไซต์ก็จะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเช่นกัน

เราหวังว่า 5 เทคนิคที่นำมาแบ่งปัน จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การทำ SEO ไม่ใช่เพียงแค่ว่าทำวันนี้แล้วจะได้ผลทันที แต่การทำให้ต่อเนื่องหากจึงจะแสดงผลลัพธ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น