Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คือ เครื่องมือยอดนิยมใน WordPress ที่ช่วยในการปรับแต่ง SEO ให้มีความเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามหลักของ google ได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่ต้องการทำการตลอดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ด้วยบทความ จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปลั๊กอินที่ชื่อว่า Yoast นี้ เพื่อช่วยในการตรวจสอบคำหรือบทความให้ถูกต้องตามหลัก SEO On-Page เนื่อง Yoast เป็นตัวช่วยในการปรับแต่ง แก้ไข ให้บทความในเว็บไซต์ ให้สมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักการค้นหาของ google 

ประโยชน์ของ Yoast SEO ที่มีต่อเว็บไซต์

Yoast เป็นเครื่องมือที่ฟรีและเป็นมิตรกับ google เอามาก ๆ จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ทำเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม WordPress โดยเฉพาะมือใหม่ด้วยฟีเจอร์ที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับใช้คำหรือข้อความให้ถูกหลัก SEO โดยจะแสดงออกมาในรูปของสีบนตัวอักษร

  • สีเขียว หมายถึง ผ่าน, ทำได้ดี มีความสมบูรณ์มากที่สุด ถูกต้องตามหลัก SEO 
  • สีส้ม หมายถึง ดีแต่ยังไม่สมบูรณ์ ควรทำการปรับปรุงแก้ไข 
  • สีแดง หมายถึง ไม่ผ่าน ต้องแก้ไขโดยด่วน 

ช่วยเลือกคีย์เวิร์ด

นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบความสมบูรณ์ ของบทความตามหลัก SEO แล้ว ยังช่วยเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับบทความของคุณอีกด้วย 

ช่วยวิเคราะห์และปรับแต่งเว็บไซต์

Yoast SEO ยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ ในเรื่องของการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมและถูกต้องตามหลักของ SEO ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์ ดังนี้ 

  • ในส่วนของ Meta Description คือคำอธิบาย เนื้อหาของเว็บไซต์ โดยจะอยู่ในส่วนของ Head โดยข้อความของ Meta Description จะแสดงในหน้าค้นหาของ Search Engine ซึ่ง Yoast จะทำหน้าที่ในการกำหนดความยาวที่เหมาะสมหรือการโฟกัสในส่วนของ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 
  • XML Sitemaps คือ แผนผังเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ในการนำทางให้ Bot ของ SEO เข้าใจถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ คล้ายเป็นไกด์หรือสารบัญให้ Bot ได้ตรวจสอบ เพื่อให้เข้าใจเว็บไซต์ที่ทำมากยิ่งขึ้น หากตรวจพบถึงโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมจะทำการแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข เช่น การเชื่อมต่อภายใน, การเชื่อมต่อภายนอก เป็นต้น
  • Canonical URLs คือ URLs ที่มีการเข้าถึงซ้ำ ๆ กันหลาย address หรือมีเนื้อหาที่ซ้ำกัน เช่น hppts://about.com กับ http://aboutus.com จาก URL ดังกล่าวเป็นไปได้ว่าหน้าเพจที่ลิงก์ไปอาจซ้ำกันหรือมีหน้าตาที่เหมือนกัน ซึ่ง Canonical URLs นี้จะช่วยแก้ไขเมื่อพบว่าเนื้อหาของเพจซ้ำกัน ควรได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขและ Canonical URLs ยังช่วยบอก Bot ของ google ว่าเว็บไซต์ดังกล่าวให้ความสำคัญกับเพจหน้าไหนมากที่สุด

สำหรับใครที่มีความสนใจจะทำเว็บไซต์เพื่อการตลาดให้ถูกต้องตามกฎ SEO อย่าลืมที่จะโหลดปลั๊กอิน Yoast มาใช้ โดยเฉพาะมือใหม่ เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาของ google ได้อย่างถูกต้อง แต่อย่าลืมว่า Yoast เป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุง แก้ไขเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO มิใช่เครื่องมือที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ 

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization คือเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเพราะมีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเจอธุรกิจคุณง่ายขึ้น ทำให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก เพิ่มความน่าเชื่อถือ รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย และแม้ว่าหลายธุรกิจเลือกทำ SEO ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ในการดูแลและหากลยุทธ์ผลักดันให้เว็บไซต์ไต่ขึ้นหน้าแรกผลการค้นหา แต่เพราะปัจจุบันมีบริษัทจำนวนมากรับทำ SEO แต่จะเลือกอย่างไรและต้องพิจารณาอะไรบ้างเพื่อให้ได้ร่วมงานกับบริษัทรับทำ SEO ที่เจ๋งจริงและทำให้ธุรกิจของคุณโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

1. มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

การทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยบริษัทที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เนื่องจากระบบหลังบ้านของ Search Engine มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนเสมอ ซึ่งบริษัทรับทำ SEO ต้องตามให้ทัน เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีเครื่องมือทำ SEO ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเครื่องมือเกิดใหม่มักมาพร้อมฟีเจอร์น่าสนใจ ซึ่งหากบริษัท SEO หมั่นอัปเดตเทรนด์และหาความรู้ใหม่เสมอ ย่อมสร้างความได้เปรียบในการทำ SEO

2. ราคาสมเหตุสมผล

ด้วยความที่ SEO เป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีบริษัทรับทำ SEO เกิดขึ้นจำนวนมาก การตัดราคาหรือนำเสนอราคาที่ถูกที่สุดจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากพบว่าบริษัทใดนำเสนอราคาถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดก็อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือก เพราะบางครั้งราคาถูกมาพร้อมคุณภาพที่ลดลงตามราคา ซึ่งหากเจอบริษัทใดราคาถูกมา ๆ แนะนำให้คุยรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงขอดูผลงานเก่าเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าตัดสินใจเลือกบริษัทไม่ผิด 

3. บริษัทที่เป็นมิตร จริงใจ และให้คำปรึกษา

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี คือบริษัทที่เลือกควรมีความจริงใจ เข้าใจความต้องการลูกค้า และเข้าใจเป้าหมายการทำ SEO ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสังเกตได้ตั้งแต่ขั้นตอนการคุยรายละเอียด บริษัทรับทำ SEO ที่ดีควรให้คำแนะนำ อธิบายขั้นตอนและวางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญต้องจริงใจ มีการทำสัญญาและระบุรายละเอียดการทำงานอย่างครบถ้วน โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

การว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ให้ดูแลและวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจคุณ เปรียบเสมือนการส่งมอบหน้าที่สำคัญให้กับบุคคลอื่น เพราะ SEO คือเครื่องมือสำคัญยิ่งในการทำการตลาดออนไลน์ บริษัทรับทำ SEO จึงมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ทะยานสู่อันดับต้น ๆ เพราะฉะนั้นท่านเจ้าของธุรกิจจึงควรพิจารณาให้ดีว่าบริษัทที่เลือกมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญมากเพียงใด เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนว่าจ้างและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการทำการตลาดอีกด้วย

แนะนำเทคนิคเบื้องต้นทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก ๆ ของ Google

แนะนำเทคนิคเบื้องต้นทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก ๆ ของ Google

สำหรับคนที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองย่อมต้องการให้หน้าเว็บอยู่ในอันดับแรก ๆ เมื่อมีการค้นหาบน Google เพราะถือเป็นการรันตีว่าเว็บไซต์ของเราจะมีคนคลิกเข้ามาเยี่ยมชมอย่างแน่นอน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อยอดจำหน่ายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ของเรา และวันนี้เราจึงมีเทคนิคเบื้องต้นในการทำ SEO ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราได้อันดับดี ๆ บนหน้าค้นหาของ Google มาฝากกัน

  1. การเลือกใช้ ‘คีย์เวิร์ด’ (Keyword Research)

เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการทำ SEO เลยก็ว่าได้ โดยเราสามารถใช้เครื่องมือของ Google ค้นหาคีย์เวิร์ดได้ว่าคำไหนที่ผู้ใช้งานกำลังนิยม Search กัน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถวางแผนต่อไปได้ว่าจะเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีจำนวนการค้นหาสูง ๆ แต่มีคู่แข่งเยอะ หรือจะใช้คีย์เวิร์ดประเภท Long Tail หรือคีย์เวิร์ดที่คนค้นหาไม่เยอะ แต่พอจะมี Traffic และคู่แข่งน้อยกว่า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์

โครงสร้างเว็บไซต์ที่ส่งผลต่อ SEO ที่เราทำอย่างคาดไม่ถึง เพราะบอทของ Google จะเข้ามาเก็บข้อมูลเว็บไซต์ทุกเว็บว่าเกี่ยวกับอะไร ซึ่งโครงสร้างเว็บไซต์จะทำหน้าที่เหมือนไกด์นำทาง ช่วยให้บอทเดินชมเว็บของเราได้อย่างสะดวก โดยโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีควรแสดงข้อมูล 2 เรื่อง ดังต่อไปนี้
2.1 บอกว่าแต่ละเว็บเพจเสนอเนื้อหา, หัวข้อ หรือประเด็นอะไร
2.2 บอกว่าแต่ละเว็บเพจมีการเชื่อมต่อ (Link) อย่างไร เมื่อผู้ชมดูข้อมูลอยู่ที่เว็บเพจหนึ่ง แล้วจะข้ามไปดูเว็บเพจอื่นอะไรได้บ้าง

  1. การปรับแต่งหน้าเว็บเพจ

ต่อให้คอนเทนต์และโครงสร้างเว็บจะดีแค่ไหน แต่หากหน้าเว็บเพจของเราใช้งานยาก ผู้ที่เข้ามาหาสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่เจออย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วเขาก็จะออกจากหน้าเว็บของเราไปอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ ชื่อของคอนเทนต์จึงมีความสำคัญกับหน้าเว็บเพจมาก ควรทำให้ผู้ที่เข้ามารู้ได้ทันทีว่าเขาจะได้อะไรจากคอนเทนต์นี้ และต้องสามารถไปยังหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ได้อย่างลื่นไหล เพราะคงไม่มีใครชอบเว็บที่โหลดช้า กดแล้วไม่ยอมโหลดหรือป็อปอัป 18+ โผล่มาเต็มหน้าจอ

  1. การทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์

เมื่อเราปรับแต่งหน้าเว็บเพจหรือปัจจัยภายในของเว็บไซต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปคือการทำ Backlink เพื่อทำให้เว็บไซต์อื่น ๆ ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์เรา ซึ่งจะช่วยให้เว็บของเรามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และยังส่งผลต่ออันดับบนหน้าการค้นหาของ Google ด้วย โดยสามารถทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
4.1 เขียนคอนเทนต์คุณภาพมากพอให้เว็บอื่นนำไปอ้างอิง
4.2 สร้างรูปภาพ หรือสื่อวิดีโอลงไปในบทความ เพื่อให้ผู้อื่นนำไปใช้อ้างอิงกลับมาที่เว็บ
4.3 จ้างเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ใส่ Backlink กลับมาหาเรา

  1. การตรวจวัดผล

ปัจจุบัน Google มีเครื่องมือหลายอย่างที่เราสามารถเข้าไปใช้เพื่อดูสถิติและตรวจวัดผลการทำ SEO ของเราได้ ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics, Google Search Console และ Google Data Studio ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้ทั้งอันดับของเว็บไซต์ของเราในหน้าการแสดงผลของ Keyword แต่ละคำ, จำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหาบน Google รวมถึงจำนวนผู้กดเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราด้วย

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

ปัจจุบันโลกแห่งเทคโนโลยี มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด ซ้ำยังเป็นตัวช่วยในการหารายได้เข้ากระเป๋าได้อีกไม่ยาก จะเห็นได้จากคนยุคใหม่ ที่เลือกหยิบสื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการถ่ายทอดไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต กิจกรรมประจำวัน สิ่งที่ชอบทำ จนสามารถกลายมาเป็นอีกหนึ่งช่องทางอาชีพสร้างรายได้

การทำ Blog จึงเป็นกลายเป็นช่องทางยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่จะเลือกใช้ถ่ายทอดเรื่องราว หาก Blog ที่สร้างมีความน่าสนใจมากเท่าไร ก็จะยิ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่เว็บไซต์สำหรับหารายได้มากเท่านั้น ฉะนั้น ไม่ใช่เพียงการทำ Blog ให้น่าสนใจแต่เพียงอย่างเดียว แต่การทำเว็บไซต์ให้สามารถค้นหาได้ง่าย และรวดเร็ว ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

SEO จึงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างเว็บไซต์ เพราะหากทำ SEO ประสบความสำเร็จมากเท่าไร โอกาสในการสร้างรายได้ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น การทำ SEO ชื่อเต็ม ๆ ว่า Search Engine Optimization คือ การทำให้กระบวนการค้นเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มอย่าง Google ปรากฏเว็บไซต์ในอันดับต้นของการค้นหา กล่าวคือ ยิ่งมีการทำ SEO มากเท่าไร เมื่อเกิดการค้นหาข้อมูลผ่าน Google ผ่านคำหรือ Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของธุรกิจนั้น ก็จะแสดงผลเว็บไซต์นั้น ๆ มาเป็นอันดับต้น ๆ ของการค้นหา และจะช่วยดึงดูดความน่าสนใจของผู้ค้นหา ให้เกิดความอยากกดเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ต่อไป

การทำ SEO ถือเป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจบนโลกออนไลน์อย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่ยังคงใช้การค้นหาเว็บไซต์ผ่านแพลตฟอร์ม Search Engine มากกว่าค้นหาผ่าน Social Media ซึ่งการทำ SEO แบบฉบับง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพียงทำตามขั้นตอนดังนี้

1. วางแผน

เริ่มวางแผนก่อนเลยว่า จะทำ SEO ด้วยวิธีการใด ทำด้วยตัวเองหรือจ้างเอเจนซี่เป็นผู้ดำเนินการ เพื่อควบคุมงบประมาณค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น หากจำเป็นต้องจ้างเอเจนซี่ ควรต้องกำหนดขอบเขตระยะเวลาไว้อย่างชัดเจน เช่น จะรายงานผล SEO กี่ครั้งต่อเดือน หรือใน 1 เดือนจะสามารถเปลี่ยน Keyword ได้กี่ครั้ง เป็นต้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจน

2. กำหนดคำ Keyword สำคัญ

หาก Blog ของเราถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ในรูปแบบของสายกิน เว็บไซต์ธุรกิจของเราก็ต้องมุ่งเน้นในการของกิน คำ Keyword ที่ใช้ก็ต้องมีความเชื่อมโยงหรือสอดคล้องกับเรื่องกินเช่นเดียวกัน ยิ่งหากสามารถสร้างคำเฉพาะได้มากเท่าไร เว็บไซต์คู่แข่งก็จะยิ่งน้อยลง การค้นหาของผู้คนก็จะเจอได้ง่ายขึ้นนั้นเอง

3. เว็บไซต์ต้องดึงดูด

ถ้าทำ Blog สวยงาม ดึงดูดให้คนเข้ามาติดตามมากเท่าไร ก็ควรต้องทำเว็บไซต์ให้เกิดความต้องการในตัวสินค้าหรือบริการมากขึ้นเท่านั้น เพราะคนที่จะเข้ามาเป็นลูกค้า ก็คือผู้ติดตามที่มาจาก Blog และเมื่อเข้ามาในเว็บไซต์แล้ว เขาเหล่านั้นก็หวังที่อยากจะเจอ อยากจะได้ อยากจะซื้อ ตามจากที่เห็นใน Blog เช่นกัน

หากสามารถสร้าง Blog ได้จนมีผู้ติดตาม การสร้างเว็บไซต์และทำ SEO ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ เพียงต้องอาศัยระยะเวลาในการทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ยิ่งทำมากเท่าไร เว็บไซต์ก็จะกลายเป็นเว็บอันดับต้นมากเท่านั้น และไม่ใช่เพียงจะดึงความสนใจของผู้ค้นหาให้อยากกดเข้ามาดูในเว็บไซต์แล้ว แต่ยังเป็นการช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้อีกทางด้วย

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO หรือไม่

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO

สมมุติว่าเราขายกล้วยไม้พันธุ์หวาย เมื่อคนต้องซื้อเขาก็จะพิมพ์คำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดว่า “ กล้วยไม้หวาย ” แล้วเรานำเอาชื่อนี้หรือคีย์เวิร์ดนี้มาตั้งเป็น www.กล้วยไม้หวาย.com สิ่งนี้คือชื่อโดเมน มีคำถามที่เป็นข้อถกเถียงกันว่า ชื่อโดเมนที่มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นมีผลต่อผลลัพธ์การค้นหาใน Google หรือมีผลต่อ SEO ( การปรับให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรก ๆ ของ Google ) หรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญตอบให้

John Mueller ผู้เชี่ยวชาญด้าน Webmaster Trends Analysts จาก Google ได้กล่าวไว้ว่า ไม่จำเป็นเลย เราจะไม่ได้คะแนนพิเศษในการจัดอันดับ และการมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมนก็ไม่ได้หมายความว่า เว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดมากไปกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ไม่ได้มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้น จงใช้เวลาในการปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ SEO เพื่อผลลัพธ์ระยะยาวดีกว่า

เว็บไซต์อย่าง Lazada ก็ไม่ได้มีชื่อว่า shop ( หรือคีย์เวิร์ดที่แปลว่าซื้อ ) อยู่ในชื่อโดเมน Shoppee ก็เป็นคำสะกดผิด Google เป็นคำมาจากภาษาอื่น Facebookเป็นคำผสมที่คิดขึ้นมาใหม่และไม่มีในพจนานุกรม และเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้ชื่อเฉพาะมาตั้งเป็นแบรนด์ ไม่มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นแต่อย่างใด

www.hotels.com ชื่อโดเมนนี้ขายได้ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ

การเห็นคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมนแพง ๆ และมีชื่อเสียงอย่าง hotels.com, voice.com, healthinsurance.com อาจทำให้เราเข้าใจว่าต้องมีคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมนและมีผลต่อ SEO แน่นอน ความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ชื่อก็เป็นเพียงชื่อ เพียงแต่คำสามัญแบบนี้จะทำให้ราคาของโดเมนสูงถึงหลักล้านเหรียญเลยทีเดียว ใครที่ทำธุรกิจซื้อขายโดเมนจะรู้ดีว่ามันแค่แพงอย่างเดียวไม่มีผลต่อ SEO แต่อย่างใด

ข้อดีของการมีคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมน

www.กล้วยไม้หวาย.com นั้นจดจำง่ายกว่า www.siriluk.com แน่นอน อีกทั้ง www.กล้วยไม้หวาย.com ยังดูครอบคลุมตลาดและเป็นมืออาชีพ คนที่เข้ามาในเว็บไซต์อาจมองว่าเป็นตลาดขายกล้วยไม้หวายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็เป็นได้

ข้อเสียของการมีคีย์เวิร์ดอยู่ในโดเมน

หากเราต้องการขายดอกไม้อย่างอื่นล่ะ www.กล้วยไม้หวาย.com ก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ การเปลี่ยนชื่อโดเมนนั้นทำไม่ได้นอกเสียจากว่าจะต้องจดชื่อใหม่เท่านั้น www.siriluk.com จะได้เปรียบกว่าหากต้องการขายดอกไม้หลากหลาย อีกทั้ง siriluk ยังเป็นชื่อแบรนด์ที่ดีด้วย คนสมัยนี้นิยมซื้อของจากแบรนด์ที่ตัวเองคุ้นเคยและไว้ใจ คนอาจสงสัยว่า www.กล้วยไม้หวาย.com คือแบรนด์อะไร จุดนี้อาจทำให้เสียภาพลักษณ์หรือความชัดเจนไป

การทำ SEO ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น หากพิมพ์ว่า “ กล้วยไม้หวาย ” แล้วเจ้าของเว็บไซต์ไม่ปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ SEO www.กล้วยไม้หวาย.com ก็จะไปอยู่หน้าท้าย ๆ ของ Google อยู่ดี

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

Search Engine คือเครื่องมือสำหรับค้นหาเนื้อและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการ เปรียบเสมือนห้องสมุดที่เก็บเรื่องราวต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซด์ และเนื้อหาต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยผู้สนใจที่ต้องการค้นหาข้อมูลก็สามารถพิมพ์คำหลักในแถบค้นหา จากนั้นอัลกอริทึม (Algorithm) จะทำการค้นหาในคลังข้อมูลด้วยซอฟแวร์เครื่องมือที่เรียกว่า Web Crawler หรือ Web Spider หรือ Web Robot ซึ่งมีเส้นใยเครือข่ายโยงไปมา จากนั้นก็จะดึงเอาลิ้งก์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำค้นหานั้นออกมาแสดงบนหน้าแสดงผลการค้นหา เรียกว่า Search Engine Results Pages (SERPs) ส่วนการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือการเพิ่มประสิทธิภาพของการค้นหา มีบทบาทสำคัญในการทำให้เว็บไซด์หรือเพจของคุณได้รับการจัดอันดับการค้นหาในอันดับต้น ๆ ของ SERPs เป็นการเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะค้นพบธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น

AI หรือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความฉลาดเหมือน (หรืออาจจะเหนือกว่า) มนุษย์ เพราะสามารถทำงาน ตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาบางอย่างได้ด้วยตนเองเหมือนมนุษย์ ในปัจจุบันมีการนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์บริการ และ Application ต่าง ๆ รวมถึงการทำงานของ Search engine อย่าง Google ด้วย ในปัจจุบันความสามารถของ AI มีความเฉพาะเจาะจงเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น AI ในรถยนต์จะทำหน้าที่ควบคุมการขับรถเพียงอย่างเดียว ในกรณีหุ่นยนต์ก็จะกำหนดแค่เฉพาะการรับคำสั่งเท่านั้น อย่างในกรณีของ Search Engine AI ก็จะทำหน้าที่ประมวลผลจากคำค้นหาที่ผู้ใช้งานระบุ เพื่อค้นหาลิงค์ที่มีบทความ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ ได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานให้มากที่สุดนั่นเอง

โดย AI ที่มีผลต่อ SEO มากที่สุดในปัจจุบันคือ Rank Brain ของ Google เลย เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดอันดับคุณภาพของเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อคัดเนื้อหาที่จะเเสดงให้ผู้ใช้งานเห็น สามารถทำงานได้ตลอดเวลาไม่มีวันเหนื่อย หรือหยุดพัก เรียกว่า Rank Brain สามารถทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง รองรับทุก ๆ บทความ SEO ที่เพิ่มได้ตลอดเวลาจากทั่วทุกมุมโลก กล่าวได้ว่าการทำงานของ AI นี้จึงเกี่ยวข้องกับ SEO โดยตรง ดังนั้นการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการขึ้นอันดับการค้นหาเป็นลำดับต้น ๆ ได้จริงจึงต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับ Algorithm นี้ให้ดีด้วย

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ AI-ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น อย่าง

– Market Brew เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยวิเคราะห์เหตุผลในการจัดอันดับของเว็บไซต์ หรือผลลัพธ์ของเครื่องมือการค้นหา (SERPs) ช่วยให้สามารถปรับแผนการทำ SEO ได้ดีขึ้น

– Publicity.ai AI ที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่ง และรูปแบบการตลาดของผู้ประกอบการ ทำให้สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำตลาด เป็นการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และแสดงผลลัพธ์ในทุก ๆ ครั้งที่ีมีความคืบหน้าอีกด้วย

– SEMrush เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยวิเคราะห์ผลการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับการทำ SEO อย่าง Keyword, การทำ Domain และรายงานผลการค้นหา Keyword Magic Tool ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายและสะดวกมากขึ้น

เพราะความก้าวหน้าหน้าและพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจรูปแบบการทำงานด้านเทคโนโลยีอย่าง AI จึงถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อการทำ SEO ทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง

seo business

นำเสนอและขายสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์

เครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญมาก ๆ สำหรับธุรกิจออนไลน์ เพราะถ้าหากว่าเจ้าของแบรนด์เข้าใจและรู้จักการใช้งานเครื่องมือสำคัญตัวนี้เป็นอย่างดี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ธุรกิจมีโอกาสขายและทำกำไรได้มากขึ้น ในกลางกลับกันหากไม่เข้าใจและไม่ใช้เลยธุรกิจก็อาจประสบปัญหาและกลายมาเป็นผู้แพ้ในสงครามการตลาดออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงได้ในที่สุด

SEO กับการใช้เพื่อหาลูกค้า

จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งคือการทำ Keyword Research สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในการตลาดของธุรกิจออนไลน์ก็คือ Keyword การทำ SEO โดยการทำ Research มาก่อน จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น แถมยังเข้าถึงได้ตรงกลุ่มที่ Match กับสินค้าได้ลงตัวมากกว่าด้วย อย่างนั้นแล้วก่อนจะเริ่มทำ SEO อย่างจริงจัง ธุรกิจควรที่จะหาดูก่อนว่า Keyword ที่ควรใช้นั้นคืออะไรกันแน่ การได้คำค้นหาที่ตรงกับสินค้าของธุรกิจจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าหาเราเจอได้มากกว่าเดิม

เทรนด์เป็นเรื่องสำคัญ แค่การใช้ Keyword ที่ตรงอาจไม่พอ ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงเทรนด์การใช้คำคำนั้นเพื่อการค้นหา โดยการดูด้วยว่าคำที่เราเลือกมานั้นมีปริมาณในการค้นหาอย่างไร เวลาที่เหมาะสมในการวิเคราะห์เทรนด์ก็คือ 12 เดือน และดูไปถึงว่าในแต่ละเดือนมีประมาณการค้นหาประมาณเท่าไร ยิ่งกับสินค้าที่ขายเป็น Season ตรงนี้ยิ่งต้องเอาไปใช้ให้ตรงช่วงเวลาด้วย

เข้าใจลูกค้า ขายได้ง่ายกว่า

เข้าไปให้ถึงที่ที่ลูกค้าอยู่ การที่จะเริ่มทำความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องรู้ให้ได้ว่ากลุ่มลูกค้าของเรานั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งที่อยู่นี้หมายถึงในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Social Media หน้าเว็บหรือเพจอะไร การมีข้อมูลตรงนี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ที่อยู่นี้เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ทุกธุรกิจจำเป็นจะต้องหาให้เจอให้ได้

ลูกค้าคุยอะไรกันเราต้องรู้ โดยปกติแล้วสิ่งที่ลูกค้าคุยหรือแชร์กันในสื่อออนไลน์คือการนำเสนอความต้องการ ความคาดหวัง และความพึงพอใจของพวกเขา ทั้งหมดที่ลูกค้าคุยกันคือโจทย์ที่ธุรกิจสามารถเอามาใช้ในการทำ Content ได้ และเมื่อรวมเข้ากับ Keyword ที่ผ่านการศึกษามาแล้ว ก็จะยิ่งทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

เพราะการเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าและรู้ว่าเทรนด์ในการหาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกคืออะไร จะช่วยให้ธุรกิจสามารถที่จะกำหนด Keyword ได้ตรงกับการค้นหามากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการนำไปใช้ในการทำ SEO ของธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วควรทำแบบไหนดี

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วควรทำแบบไหนดี

ในยุคที่การทำธุรกิจมุ่งเข้าสู่การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมาก เนื่องด้วยในปัจจุบันผู้คนต่างค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจผ่านระบบ search engine หากเว็บไซต์ของเราสามารถแสดงผลในหน้าแรกของระบบได้ ก็จะทำให้ผู้คนเข้าถึงสินค้าและบริการของเราได้ง่ายขึ้น

การทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ติดหน้าแรกของการค้นหา หลักๆก็จะมีอยู่ 2 แบบ นั่นก็คือการทำ SEO กับ SEM แต่ทั้งสองคำนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรทำการตลาดแบบไหนดี

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร

SEO คือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของการค้นหาโดยไม่ต้องลงโฆษณา ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดมาเป็นช่องทางให้ผู้คนค้นพบเว็บไซต์ของเรา ซึ่งมีวิธีการดังนี้

  1. เลือกคีย์เวิร์ด การทำ SEO นั้น เราจะต้องเลือกคีย์เวิร์ดให้ตรงกับหัวข้อของเรา การเลือกคีย์เวิร์ดนั้นควรเลือกใช้คำที่คาดว่าจะมีผู้ค้นหาผ่าน search engine มาก ซึ่งปัจจุบันมีโปรแกรมที่ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพื่อให้การวิเคราะห์นั้นแม่นยำมากยิ่งขึ้น
  2. การเขียนบทความให้น่าสนใจ เราต้องทำการเขียนบทความให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารกับผู้อ่าน และเนื้อหาในบทความนั้นต้องมีคุณภาพเพียงพอต่อการให้คุณประโยชน์ต่อผู้อ่านด้วยเช่นกัน
  3. การแทรกคีย์เวิร์ดลงในบทความ เมื่อเราเขียนบทความ เทคนิคหนึ่งที่สำคัญคือการแทรกคีย์เวิร์ดลงในส่วนต่างๆของบทความเพื่อให้ผลการค้นหามาพบกับบทความของเรา การแทรกคีย์เวิร์ดควรให้สอดคล้องไปกับเนื้อหาอย่างกลมกลืน และแทรกคีย์เวิร์ดไปตามส่วนต่างๆทั่วทั้งบทความ นอกเหนือจากนั้นใน 1 บทความควรมีมากกว่า 1 คีย์เวิร์ด

SEM คือ Search Engine Marketing คือการทำการตลาดผ่าน search engine ด้วยการซื้อโฆษณา เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกของการค้นหาในทันที โดยการซื้อโฆษณาจะมีลักษณะที่เรียกว่า PPC หรือ Pay Per Click ซึ่งหากมีคนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหา เราก็จะต้องจ่ายค่าโฆษณา คือการจ่ายเมื่อคลิกนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้ได้ผลรวดเร็วแต่ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายจากการประมูลในคีย์เวิร์ดนั้น หากคีย์เวิร์ดที่เราเลือกมีผู้ใช้มาก เราจำเป็นต้องจ่ายค่าประมูลให้มากกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลก่อนเว็บไซต์ของคนอื่น

SEO กับ SEM ควรเลือกแบบไหนดี

จากข้อแตกต่างดังกล่าว ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการเลือกใช้วิธีใด หากเราไม่อยากเสียเงินเพื่อซื้อโฆษณาก็อาจจะเลือกใช้การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราค่อยๆไต่อันดับในการแสดงผลผ่าน search engine แต่ถ้าหากเรามีงบประมาณและต้องการให้เว็บไซต์แสดงผลในหน้าค้นหาทันที ก็เลือกใช้ SEM เพื่อผลที่รวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดแบบ SEO หรือ SEM สิ่งสำคัญคือเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพื่อให้การทำการตลาดออนไลน์ประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืน

ข้อดีของการจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO

ข้อดีของการจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO

บรรดาเว็บไซต์ธุรกิจชั้นนำต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ค้นพบได้เร็วใน Google ส่งผลดีต่อการเพิ่มยอดขายทางออนไลน์ และกำลังคิดที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญรับทำ SEO เข้ามาช่วยปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหาของ Google แต่ยังลังเลว่าการลงทุนนี้จะเกิดผลดีต่อธุรกิจหรือไม่ อยากประหยัดต้นทุนลองทำ SEO ด้วยตัวเองโดยไม่มีเวลาหรือไม่มีประสบการณ์จะทำได้จริงหรือ เรามาหาคำตอบไปด้วยกัน

1.เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย

การว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญทำ SEO จะช่วยให้มีการทำงานที่เป็นระบบ มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน มีประสบการณ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ด้วยกลยุทธ์ SEO เพื่อผลักดันเว็บไซต์ของคุณขึ้นเป็นผู้นำในหน้าผลลัพธ์ของ Google จึงช่วยให้มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ มีโอกาสนำเสนอสินค้าหรือบริการก่อนคู่แข่ง ส่งผลให้เพิ่มโอกาสในการขายได้ก่อนอย่างแน่นอน

2.รู้วิธีการทำ SEO ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

ความสำเร็จธุรกิจไม่ใช่เรื่องที่จะมาคาดเดาหรือลองถูกลองผิดให้เสียเวลาเพราะจะทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ไปได้ รวมถึงอาจสร้างความเสียหายต่อธุรกิจได้ด้วย ตัวอย่างเช่น การสร้างลิงก์กับเว็บไซต์อื่น ๆ โดยเน้นจำนวนมากแต่ไม่คัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์ การสร้างลิงก์ผิดประเภทกลายเป็นผลเสียทำให้เว็บไซต์ขาดความน่าเชื่อถือและอาจถูกแบนจากการจัดอันดับเพื่อเป็นการลงโทษด้วย ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำวิธีการทำ SEO แบบสายขาวช่วยให้เข้าสู่การจัดอันดับอย่างราบรื่นและรวดเร็วได้

3.โฟกัสกับธุรกิจของคุณโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด

เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญรับหน้าที่การทำ SEO เพื่อยกระดับเว็บไซต์ให้มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูงแล้ว เจ้าของธุรกิจสามารถวางใจและมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจให้ก้าวหน้าเติบโตได้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะต้องหาเวลาไปปรับแต่งเว็บไซต์ เขียนเนื้อหาบทความใหม่ ไปจนถึงสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่น ๆ การไว้ใจให้ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ ช่วยลดความเครียดให้กับเจ้าของธุรกิจไปได้มากทีเดียว

ในกรณีที่ต้องการทำ SEO ด้วยตัวเอง มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร

  • ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือไม่มีค่าใช้จ่าย เจ้าของธุรกิจอาจไม่มีความเป็นมืออาชีพก็จริง แต่ความรู้พื้นฐานอาจปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีคุณภาพดีขึ้นและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แบรนด์ได้ไม่มากก็น้อย ช่วยประหยัดต้นทุนค่าจ้างผู้เชี่ยวชาญไปในตัว
  • เนื่องจากเจ้าของธุรกิจรู้จักสินค้าหรือบริการของตนเองดีที่สุด ในขั้นตอนการเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาจึงเลือกคำจำกัดความที่ตรงใจลูกค้า ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้ผู้เชี่ยวชาญทำความเข้าใจในตัวสินค้าและวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เข้ากัน
  • เจ้าของธุรกิจยังทราบจุดเด่นของแบรนด์และผลิตภัณฑ์เป็นอย่างดีจึงรู้ว่าบทความแบบไหนเหมาะกับเว็บไซต์ของตนเอง แต่การทำ SEO อาจทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจและส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ทำให้โดนแบนได้

จากบทความข้างต้นสรุปได้ว่าผู้เชี่ยวชาญการทำ SEO มีความรู้และประสบการณ์สามารถตัดสินใจอย่างชาญฉลาดว่าควรทำอย่างไรจึงปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาบน Google ส่งผลให้อันดับอยู่ในหน้าแรก ๆ และจำนวนผู้ค้นหามองเห็นของคุณเพิ่มมากขึ้น

ทำ SEO ใน Facebook ดีไหม

ทำ SEO ใน Facebook ดีไหม

การทำ SEO หรือ search engine optimization ไม่ได้จำกัดเฉพาะการทำในเว็บไซต์เท่านั้น แม้แต่ facebook ก็ทำได้เช่นกัน เชื่อหรือไม่ว่าจากสถิติล่าสุด มีคนไทยใช้ Facebook มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกและหนึ่งคนมีมากกว่าหนึ่งแอคเค้าท์ด้วย แสดงถึงโอกาสในการขายสินค้าและบริการที่สูงหากเราทำ SEO ใน Facebook อย่างต่อเนื่อง จะทำให้ได้รับประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

มีโอกาสถูกเห็นมากขึ้น

มีการบอกต่อ ๆ กันมาว่า Facebook มีวิธีปิดช่องทางการเห็นสำหรับเพจที่คุณภาพต่ำ หรือเน้นการขายสินค้าเพียงอย่างเดียว นั่นแสดงว่า Facebook มีนโยบายที่ต้องการเพิ่มสาระความรู้ให้แก่ผู้อ่านใน facebook มากขึ้นเพื่อเพิ่มการใช้งานที่สูงขึ้นไปแข่งกับ google ถ้าเราทำ SEO ใน facebook ก็เท่ากับดำเนินธุรกิจตามนโยบายของ facebook โอกาสถูกเห็นจะมากขึ้นตามไปด้วย

มีการแชร์และบอกต่อบทความมากขึ้น

การทำ SEO ในบทความและรูปภาพบน facebook ที่เน้นสาระความรู้มากกว่าโฆษณา อาจทำให้มีการแชร์บอกต่อมากขึ้น เช่น เราขายสินค้าเกี่ยวกับอาหารสุนัข ถ้าทำบทความ SEO ที่เน้นความรู้เรื่องโรคในสุนัข แนะนำพื้นฐานการดูแลลูกสุนัขแบบง่าย ๆ บอกเล่าความสำคัญของการฉีดวัคซีนสุนัข ฯลฯ บทความเหล่านี้จะเข้าถึงกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงที่อยากแชร์และบอกต่อมากขึ้น และจะทำให้มีคนอยากมาอุดหนุนซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นตามมาด้วย

ทำให้เพจเป็นระเบียบ

พัฒนา facebook fanpage ตามแนวทาง SEO เป็นรากฐานสำคัญของโครงสร้างเพจที่น่าเชื่อถือ ดูเป็นมืออาชีพ ทำให้เพิ่มโอกาสขายสินค้ามากขึ้น โดยองค์ประกอบที่ควรมีได้แก่ logo ที่สะดุดตา, banner ที่น่าสนใจ, การแนะนำตัวบริษัท, แสดงช่องทางการติดต่อ, เว็บปลายทางเป็นลิ้ง เพื่อให้ง่ายต่อการใช้ของลูกค้า จะเป็น วิเคราะห์บอลวันนี้ เว็บหวย สุขภาพ ก็ตามแต่, เพิ่มหมวดสารบัญของสินค้าที่พร้อมจำหน่าย, บอกถึงมาตรการรักษาความลับของลูกค้า ฯลฯ เหล่านี้ เมื่อแสดงไว้ใน Facebook จะส่งผลต่อคะแนน SEO ที่ดียิ่งขึ้น

เพิ่มยอดขายได้ตลอดเวลา

ปัจจุบันผู้คนใช้อินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลตลอดเวลา 24 ชั่วโมง การที่อันดับ facebook SEO สูงขึ้น จากการใส่ใจรายละเอียดทั้ง on-page และ off-pafe SEO จะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเข้าถึงเพจได้มากขึ้น ทำให้มียอดการสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการไม่ทำ SEO และหากเป็นเพจภาษาต่างประเทศก็จะเข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้ทั่วโลก ซึ่งย่อมมียอดขายหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเพจภาษาไทย

Facebook มีความสำคัญสำหรับการขายสินค้าที่เน้นกลุ่มคนไทยที่ใช้งาน facebook เป็นประจำ ทำให้ร้านค้าได้ประโยชน์ทั้งยอดขาย มีชื่อเสียง ได้รับความเชื่อถือในวงกว้าง ฯลฯ เมื่อทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ ก็มั่นใจได้ว่าสามารถเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่โดดเด่นได้แม้จะมีคู่แข่งจำนวนมากในโลกออนไลน์ก็ตาม