ทำความรู้จัก SEO 4 แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้

ทำความรู้จัก SEO 4 แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้

ทำความรู้จัก SEO 4 แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร นักการตลาดออนไลน์ต้องรู้

หากพูดถึงเทรนด์การตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจขนาดใหญ่ แน่นอนว่าต้องยกตำแหน่งแชมป์ให้กับ SEO หรือ Search Engine Optimization การออกแบบเว็บไซต์ให้ได้คุณภาพและอยู่ในเกณฑ์การให้คะแนนของ Search Engine ข้อดีคือเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีเยี่ยมแถมยังเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่เว็บไซต์ แต่รู้หรือไม่ว่า SEO นั้นมีด้วยกันหลายแบบ อีกทั้งแต่ละแบบยังแตกต่างกันอีกด้วย

SEO มีกี่แบบ แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

1. On – page SEO

คือการออกแบบและปรับเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในเว็บไซต์ให้สอดคล้องหรือเป็นไปตามเกณฑ์ให้คะแนนของ Search Engine เช่น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดให้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย การเขียนคอนเทนต์สดใหม่ ไม่ลอกเลียนแบบ การใส่ Internal Link เพื่อให้สามารถกดไปยังหน้าอื่นของเว็บไซต์ได้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ นำไปสู่การประมวลและจัดอันดับเว็บไซต์นั่นเอง

2. Off – page SEO

นอกจากการปรับแต่งภายในเว็บไซต์ของตัวเองแล้ว ต้องอย่าลืมทำ Backlink หรือทำลิงค์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของคุณด้วยการฝากลิงค์กับเว็บไซต์อื่น เมื่อกลุ่มเป้าหมายกดมาเข้ามาสู่เว็บไซต์ แน่นอนว่าจำนวน traffic จะมากขึ้น และเมื่อเว็บไซต์ได้รับความนิยม โอกาสติดหน้าแรกการค้นหาก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย แต่ขอบอกก่อนว่าไม่ควรฝากลิงค์มากเกินไป แนะนำให้เลือกฝากกับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ

3. SEO สายขาว

การทำ SEO สายขาวคือการทำ SEO แบบตรงไปตรงมาและรอคอยจนกว่าผลลัพธ์จะค่อย ๆ เป็นไปตามต้องการ เป็นการออกแบบเว็บไซต์ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์การให้คะแนนจาก Search Engine เช่น การวิเคราะห์คียเวิร์ดและปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ดให้เข้ากับเทรนด์การค้นหาเสมอ การทำ Internal Link การทำ External Link การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย วิธีนี้จะไม่เห็นผลทันตาแต่ต้องรอผลลัพธ์ประมาณ 3-6 เดือน กว่าเว็บไซต์จะเริ่มติดอันดับดี ๆ จุดเด่นคือความเสี่ยงต่ำและได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

4. SEO สายเทา

ในเมื่อมี SEO สายขาวแล้วแน่นอนว่าต้องมี SEO สายเทา หรือการวิเคราะห์จุดอ่อนอัลกอริทึมของ Search Engine และใช้จุดอ่อนนั้นมาช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกการค้นหา ไม่ว่าจะเป็น การทำสแปมคีย์เวิร์ด การฝากลิงค์เว็บไซต์อื่นมากเกินไป การทำ Cloaking หรือการตั้งใจทำคอนเทนต์ให้คนเห็นอีกแบบหนึ่ง ในขณะที่ระบบบอทจะมองเห็นอีกแบบหนึ่ง แม้วิธีนี้จะทำให้เว็บไซต์ก้าวสู่อันดับดี ๆ ได้เร็วขึ้น แต่เป็นการหวังผลระยะสั้น หาก Search Engine ตรวจจับได้จะทำให้ถูกแบนและไม่มีโอกาสติดอันดับดี ๆ อีกเลย

จะเห็นว่าการทำ SEO สามารถแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีวิธีแตกต่างกันแถมผลลัพธ์ยังแตกต่างกันอีกด้วย เพราะฉะนั้นนักการตลาดจึงควรศึกษาการทำ SEO แต่ละรูปแบบ รวมถึงจุดเด่นและจุดด้อยของการทำ SEO รูปแบบนั้น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกเสมอ ซึ่งแน่นอนว่าหากทำได้ กลุ่มเป้าหมายจะมีโอกาสเห็นสินค้าและบริการของคุณ จนสร้างการจดจำได้ในที่สุด

บทความ SEO คืออะไร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับ Google

บทความ SEO คืออะไร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับ Google

บทความ SEO คืออะไร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับ Google

บทความ SEO คือการทำ Content ผ่านบทความโดยหวังผลให้เว็บไซต์หรือเพจที่ทำนั้นเป็นที่รู้จักและติดอันดับหน้าค้นหาของ Search Engine ชื่อดังอย่าง Google ซึ่งบทความดังกล่าวจะต้องมีเนื้อหาที่น่าสนใจและโครงสร้างที่ถูกต้องตามหลักและข้อกำหนดของ Google โดยเนื้อหาของบทความจะต้องเป็นการเขียนใหม่หมด ภายใต้ข้อมูลที่แท้จริง สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาของความรู้เหล่านั้นได้ ไม่มีการ Copy บทความมาลง เพราะถือเป็นการทำผิดกฎของการทำ SEO และยังเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย

บทความธรรมดากับบทความ SEO ต่างกันอย่างไร

บทความธรรมดาอาจเป็นบทความที่เขียนภายใต้ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ หรือการเขียนเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้บุคคลที่ต้องการข้อมูลหรือเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากผู้เขียน โดยอาจจะไม่หวังผลทางการค้า ในส่วนของบทความ SEO จะเป็นการเขียนบทความเชิงการตลาดโดยนำ Keyword หรือคำที่ค้นหาเกี่ยวกับสินค้าและบริการมาใช้ผสมผสานลงไปในบทความ รวมถึงการเขียนบทความให้ตอบโจทย์กับ BOT ของ SEO ที่เข้ามาค้นหาข้อมูลเพื่อนำไปจัดอันดับเว็บไซต์ 

จะเขียนบทความอย่างไรให้ถูกใจ Google

  • บทความหรือเนื้อหาที่นำเสนอควรมีความยาวอย่างน้อย 300 คำ หรือให้ดีควรมีตั้งแต่ 500 คำขึ้นไป ยิ่งมากยิ่งดี 
  • รูปภาพประกอบสำคัญที่สุด โดยเฉพาะรูปภาพที่จัดทำขึ้นเอง ซึ่งจะต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่นำมาใช้งาน แต่ถ้าหารูปภาพเองไม่ได้สามารถที่จะเลือกใช้จากผู้ให้บริการฟรี แต่อย่าลืมที่จะให้เครดิตแหล่งที่มาของรูปภาพด้วย 
  • เป็นบทความที่เขียนขึ้นใหม่ ไม่ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น ๆ
  • ไม่เขียนวกวนหรือใช้คำซ้ำ ๆ  
  • ไม่ใส่คีย์เวิร์ดที่มากและถี่จนเกินไป เพราะทาง BOT อาจมองดูว่าเป็นการ Spam Keyword 
  • เนื้อหาที่เขียนควรมีความชัดเจนว่าเขียนเกี่ยวกับอะไรและเกี่ยวข้องกับเว็บด้วย
  • การจัดลำดับโครงสร้างภายใน การใช้ H1, H2, H3, H4 จะได้รับความน่าสนใจมากกว่าการไม่มีหัวข้อใด ๆ เลย
  • การเขียนบทความควรเขียนโดยผู้รู้หรือมีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งจะให้ความน่าเชื่อถือและน่าสนใจมากกว่า
  • มีการอัปเดตข้อมูลและบทความภายในเว็บไซต์อยู่สม่ำเสมอ

จะเห็นว่าการเขียนบทความ SEO มีความสำคัญอย่างยิ่งกับเว็บไซต์หรือธุรกิจที่ต้องการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อแข่งขันให้ลูกค้าสามารถมองเห็นข้อมูล เว็บไซต์ของตนเองในลำดับการค้นหาหน้าต้น ๆ ยิ่งอยู่ในลำดับ 1 – 5 ยิ่งจะได้รับการคลิกเพื่อเข้าใช้งานของผู้ที่สนใจมากขึ้น ยิ่งสร้างทราฟฟิคเข้ามาที่เว็บไซต์มากเท่าไรยิ่งเป็นผลดีต่อเว็บไซต์และธุรกิจมากเท่านั้น 

เมื่อทุกอย่างที่เตรียมไว้ได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ภายใต้ข้อกำหนด ระเบียบต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ที่เหลือก็รอเพียงแค่เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและน่าติดตามมากแค่ไหน 

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คืออะไร ทำไมคนทำการตลาดออนไลน์ถึงควรรู้

Yoast SEO คือ เครื่องมือยอดนิยมใน WordPress ที่ช่วยในการปรับแต่ง SEO ให้มีความเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามหลักของ google ได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด โดยเฉพาะคนที่ต้องการทำการตลอดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ด้วยบทความ จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปลั๊กอินที่ชื่อว่า Yoast นี้ เพื่อช่วยในการตรวจสอบคำหรือบทความให้ถูกต้องตามหลัก SEO On-Page เนื่อง Yoast เป็นตัวช่วยในการปรับแต่ง แก้ไข ให้บทความในเว็บไซต์ ให้สมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักการค้นหาของ google 

ประโยชน์ของ Yoast SEO ที่มีต่อเว็บไซต์

Yoast เป็นเครื่องมือที่ฟรีและเป็นมิตรกับ google เอามาก ๆ จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ทำเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม WordPress โดยเฉพาะมือใหม่ด้วยฟีเจอร์ที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับใช้คำหรือข้อความให้ถูกหลัก SEO โดยจะแสดงออกมาในรูปของสีบนตัวอักษร

  • สีเขียว หมายถึง ผ่าน, ทำได้ดี มีความสมบูรณ์มากที่สุด ถูกต้องตามหลัก SEO 
  • สีส้ม หมายถึง ดีแต่ยังไม่สมบูรณ์ ควรทำการปรับปรุงแก้ไข 
  • สีแดง หมายถึง ไม่ผ่าน ต้องแก้ไขโดยด่วน 

ช่วยเลือกคีย์เวิร์ด

นอกจากจะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบความสมบูรณ์ ของบทความตามหลัก SEO แล้ว ยังช่วยเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับบทความของคุณอีกด้วย 

ช่วยวิเคราะห์และปรับแต่งเว็บไซต์

Yoast SEO ยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ ในเรื่องของการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมและถูกต้องตามหลักของ SEO ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของโครงสร้างเว็บไซต์ ดังนี้ 

  • ในส่วนของ Meta Description คือคำอธิบาย เนื้อหาของเว็บไซต์ โดยจะอยู่ในส่วนของ Head โดยข้อความของ Meta Description จะแสดงในหน้าค้นหาของ Search Engine ซึ่ง Yoast จะทำหน้าที่ในการกำหนดความยาวที่เหมาะสมหรือการโฟกัสในส่วนของ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด 
  • XML Sitemaps คือ แผนผังเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ในการนำทางให้ Bot ของ SEO เข้าใจถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ คล้ายเป็นไกด์หรือสารบัญให้ Bot ได้ตรวจสอบ เพื่อให้เข้าใจเว็บไซต์ที่ทำมากยิ่งขึ้น หากตรวจพบถึงโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมจะทำการแจ้งให้ปรับปรุง แก้ไข เช่น การเชื่อมต่อภายใน, การเชื่อมต่อภายนอก เป็นต้น
  • Canonical URLs คือ URLs ที่มีการเข้าถึงซ้ำ ๆ กันหลาย address หรือมีเนื้อหาที่ซ้ำกัน เช่น hppts://about.com กับ http://aboutus.com จาก URL ดังกล่าวเป็นไปได้ว่าหน้าเพจที่ลิงก์ไปอาจซ้ำกันหรือมีหน้าตาที่เหมือนกัน ซึ่ง Canonical URLs นี้จะช่วยแก้ไขเมื่อพบว่าเนื้อหาของเพจซ้ำกัน ควรได้รับการตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไขและ Canonical URLs ยังช่วยบอก Bot ของ google ว่าเว็บไซต์ดังกล่าวให้ความสำคัญกับเพจหน้าไหนมากที่สุด

สำหรับใครที่มีความสนใจจะทำเว็บไซต์เพื่อการตลาดให้ถูกต้องตามกฎ SEO อย่าลืมที่จะโหลดปลั๊กอิน Yoast มาใช้ โดยเฉพาะมือใหม่ เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาของ google ได้อย่างถูกต้อง แต่อย่าลืมว่า Yoast เป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับปรุง แก้ไขเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO มิใช่เครื่องมือที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ 

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

ดูให้ดี! 3 สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนตัดสินใจจ้างบริษัทรับทำ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization คือเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงเพราะมีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเจอธุรกิจคุณง่ายขึ้น ทำให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จัก เพิ่มความน่าเชื่อถือ รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย และแม้ว่าหลายธุรกิจเลือกทำ SEO ด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ในการดูแลและหากลยุทธ์ผลักดันให้เว็บไซต์ไต่ขึ้นหน้าแรกผลการค้นหา แต่เพราะปัจจุบันมีบริษัทจำนวนมากรับทำ SEO แต่จะเลือกอย่างไรและต้องพิจารณาอะไรบ้างเพื่อให้ได้ร่วมงานกับบริษัทรับทำ SEO ที่เจ๋งจริงและทำให้ธุรกิจของคุณโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

1. มีประสบการณ์ เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

การทำ SEO จำเป็นต้องอาศัยบริษัทที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เนื่องจากระบบหลังบ้านของ Search Engine มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนเสมอ ซึ่งบริษัทรับทำ SEO ต้องตามให้ทัน เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันทีเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีเครื่องมือทำ SEO ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ โดยเครื่องมือเกิดใหม่มักมาพร้อมฟีเจอร์น่าสนใจ ซึ่งหากบริษัท SEO หมั่นอัปเดตเทรนด์และหาความรู้ใหม่เสมอ ย่อมสร้างความได้เปรียบในการทำ SEO

2. ราคาสมเหตุสมผล

ด้วยความที่ SEO เป็นเครื่องมือทำการตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีบริษัทรับทำ SEO เกิดขึ้นจำนวนมาก การตัดราคาหรือนำเสนอราคาที่ถูกที่สุดจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากพบว่าบริษัทใดนำเสนอราคาถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดก็อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือก เพราะบางครั้งราคาถูกมาพร้อมคุณภาพที่ลดลงตามราคา ซึ่งหากเจอบริษัทใดราคาถูกมา ๆ แนะนำให้คุยรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงขอดูผลงานเก่าเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าตัดสินใจเลือกบริษัทไม่ผิด 

3. บริษัทที่เป็นมิตร จริงใจ และให้คำปรึกษา

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ดี คือบริษัทที่เลือกควรมีความจริงใจ เข้าใจความต้องการลูกค้า และเข้าใจเป้าหมายการทำ SEO ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสังเกตได้ตั้งแต่ขั้นตอนการคุยรายละเอียด บริษัทรับทำ SEO ที่ดีควรให้คำแนะนำ อธิบายขั้นตอนและวางกลยุทธ์อย่างเป็นระบบ ที่สำคัญต้องจริงใจ มีการทำสัญญาและระบุรายละเอียดการทำงานอย่างครบถ้วน โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

การว่าจ้างบริษัทรับทำ SEO ให้ดูแลและวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจคุณ เปรียบเสมือนการส่งมอบหน้าที่สำคัญให้กับบุคคลอื่น เพราะ SEO คือเครื่องมือสำคัญยิ่งในการทำการตลาดออนไลน์ บริษัทรับทำ SEO จึงมีส่วนอย่างมากที่จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ทะยานสู่อันดับต้น ๆ เพราะฉะนั้นท่านเจ้าของธุรกิจจึงควรพิจารณาให้ดีว่าบริษัทที่เลือกมีความพร้อมและความเชี่ยวชาญมากเพียงใด เพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนว่าจ้างและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการทำการตลาดอีกด้วย

แนะนำเทคนิคเบื้องต้นทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก ๆ ของ Google

แนะนำเทคนิคเบื้องต้นทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก ๆ ของ Google

สำหรับคนที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองย่อมต้องการให้หน้าเว็บอยู่ในอันดับแรก ๆ เมื่อมีการค้นหาบน Google เพราะถือเป็นการรันตีว่าเว็บไซต์ของเราจะมีคนคลิกเข้ามาเยี่ยมชมอย่างแน่นอน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อยอดจำหน่ายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ของเรา และวันนี้เราจึงมีเทคนิคเบื้องต้นในการทำ SEO ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราได้อันดับดี ๆ บนหน้าค้นหาของ Google มาฝากกัน

  1. การเลือกใช้ ‘คีย์เวิร์ด’ (Keyword Research)

เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการทำ SEO เลยก็ว่าได้ โดยเราสามารถใช้เครื่องมือของ Google ค้นหาคีย์เวิร์ดได้ว่าคำไหนที่ผู้ใช้งานกำลังนิยม Search กัน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถวางแผนต่อไปได้ว่าจะเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีจำนวนการค้นหาสูง ๆ แต่มีคู่แข่งเยอะ หรือจะใช้คีย์เวิร์ดประเภท Long Tail หรือคีย์เวิร์ดที่คนค้นหาไม่เยอะ แต่พอจะมี Traffic และคู่แข่งน้อยกว่า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์

โครงสร้างเว็บไซต์ที่ส่งผลต่อ SEO ที่เราทำอย่างคาดไม่ถึง เพราะบอทของ Google จะเข้ามาเก็บข้อมูลเว็บไซต์ทุกเว็บว่าเกี่ยวกับอะไร ซึ่งโครงสร้างเว็บไซต์จะทำหน้าที่เหมือนไกด์นำทาง ช่วยให้บอทเดินชมเว็บของเราได้อย่างสะดวก โดยโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีควรแสดงข้อมูล 2 เรื่อง ดังต่อไปนี้
2.1 บอกว่าแต่ละเว็บเพจเสนอเนื้อหา, หัวข้อ หรือประเด็นอะไร
2.2 บอกว่าแต่ละเว็บเพจมีการเชื่อมต่อ (Link) อย่างไร เมื่อผู้ชมดูข้อมูลอยู่ที่เว็บเพจหนึ่ง แล้วจะข้ามไปดูเว็บเพจอื่นอะไรได้บ้าง

  1. การปรับแต่งหน้าเว็บเพจ

ต่อให้คอนเทนต์และโครงสร้างเว็บจะดีแค่ไหน แต่หากหน้าเว็บเพจของเราใช้งานยาก ผู้ที่เข้ามาหาสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่เจออย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วเขาก็จะออกจากหน้าเว็บของเราไปอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ ชื่อของคอนเทนต์จึงมีความสำคัญกับหน้าเว็บเพจมาก ควรทำให้ผู้ที่เข้ามารู้ได้ทันทีว่าเขาจะได้อะไรจากคอนเทนต์นี้ และต้องสามารถไปยังหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ได้อย่างลื่นไหล เพราะคงไม่มีใครชอบเว็บที่โหลดช้า กดแล้วไม่ยอมโหลดหรือป็อปอัป 18+ โผล่มาเต็มหน้าจอ

  1. การทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์

เมื่อเราปรับแต่งหน้าเว็บเพจหรือปัจจัยภายในของเว็บไซต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปคือการทำ Backlink เพื่อทำให้เว็บไซต์อื่น ๆ ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์เรา ซึ่งจะช่วยให้เว็บของเรามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และยังส่งผลต่ออันดับบนหน้าการค้นหาของ Google ด้วย โดยสามารถทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
4.1 เขียนคอนเทนต์คุณภาพมากพอให้เว็บอื่นนำไปอ้างอิง
4.2 สร้างรูปภาพ หรือสื่อวิดีโอลงไปในบทความ เพื่อให้ผู้อื่นนำไปใช้อ้างอิงกลับมาที่เว็บ
4.3 จ้างเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ใส่ Backlink กลับมาหาเรา

  1. การตรวจวัดผล

ปัจจุบัน Google มีเครื่องมือหลายอย่างที่เราสามารถเข้าไปใช้เพื่อดูสถิติและตรวจวัดผลการทำ SEO ของเราได้ ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics, Google Search Console และ Google Data Studio ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้ทั้งอันดับของเว็บไซต์ของเราในหน้าการแสดงผลของ Keyword แต่ละคำ, จำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหาบน Google รวมถึงจำนวนผู้กดเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราด้วย

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เรียนรู้วิธีสร้าง SEO ตัวช่วยหารายได้ ผ่านไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

ปัจจุบันโลกแห่งเทคโนโลยี มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด ซ้ำยังเป็นตัวช่วยในการหารายได้เข้ากระเป๋าได้อีกไม่ยาก จะเห็นได้จากคนยุคใหม่ ที่เลือกหยิบสื่อออนไลน์เป็นช่องทางในการถ่ายทอดไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต กิจกรรมประจำวัน สิ่งที่ชอบทำ จนสามารถกลายมาเป็นอีกหนึ่งช่องทางอาชีพสร้างรายได้

การทำ Blog จึงเป็นกลายเป็นช่องทางยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่จะเลือกใช้ถ่ายทอดเรื่องราว หาก Blog ที่สร้างมีความน่าสนใจมากเท่าไร ก็จะยิ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่เว็บไซต์สำหรับหารายได้มากเท่านั้น ฉะนั้น ไม่ใช่เพียงการทำ Blog ให้น่าสนใจแต่เพียงอย่างเดียว แต่การทำเว็บไซต์ให้สามารถค้นหาได้ง่าย และรวดเร็ว ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

SEO จึงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างเว็บไซต์ เพราะหากทำ SEO ประสบความสำเร็จมากเท่าไร โอกาสในการสร้างรายได้ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น การทำ SEO ชื่อเต็ม ๆ ว่า Search Engine Optimization คือ การทำให้กระบวนการค้นเว็บไซต์บนแพลตฟอร์มอย่าง Google ปรากฏเว็บไซต์ในอันดับต้นของการค้นหา กล่าวคือ ยิ่งมีการทำ SEO มากเท่าไร เมื่อเกิดการค้นหาข้อมูลผ่าน Google ผ่านคำหรือ Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของธุรกิจนั้น ก็จะแสดงผลเว็บไซต์นั้น ๆ มาเป็นอันดับต้น ๆ ของการค้นหา และจะช่วยดึงดูดความน่าสนใจของผู้ค้นหา ให้เกิดความอยากกดเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ต่อไป

การทำ SEO ถือเป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจบนโลกออนไลน์อย่างมาก เพราะคนส่วนใหญ่ยังคงใช้การค้นหาเว็บไซต์ผ่านแพลตฟอร์ม Search Engine มากกว่าค้นหาผ่าน Social Media ซึ่งการทำ SEO แบบฉบับง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพียงทำตามขั้นตอนดังนี้

1. วางแผน

เริ่มวางแผนก่อนเลยว่า จะทำ SEO ด้วยวิธีการใด ทำด้วยตัวเองหรือจ้างเอเจนซี่เป็นผู้ดำเนินการ เพื่อควบคุมงบประมาณค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น หากจำเป็นต้องจ้างเอเจนซี่ ควรต้องกำหนดขอบเขตระยะเวลาไว้อย่างชัดเจน เช่น จะรายงานผล SEO กี่ครั้งต่อเดือน หรือใน 1 เดือนจะสามารถเปลี่ยน Keyword ได้กี่ครั้ง เป็นต้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจน

2. กำหนดคำ Keyword สำคัญ

หาก Blog ของเราถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ในรูปแบบของสายกิน เว็บไซต์ธุรกิจของเราก็ต้องมุ่งเน้นในการของกิน คำ Keyword ที่ใช้ก็ต้องมีความเชื่อมโยงหรือสอดคล้องกับเรื่องกินเช่นเดียวกัน ยิ่งหากสามารถสร้างคำเฉพาะได้มากเท่าไร เว็บไซต์คู่แข่งก็จะยิ่งน้อยลง การค้นหาของผู้คนก็จะเจอได้ง่ายขึ้นนั้นเอง

3. เว็บไซต์ต้องดึงดูด

ถ้าทำ Blog สวยงาม ดึงดูดให้คนเข้ามาติดตามมากเท่าไร ก็ควรต้องทำเว็บไซต์ให้เกิดความต้องการในตัวสินค้าหรือบริการมากขึ้นเท่านั้น เพราะคนที่จะเข้ามาเป็นลูกค้า ก็คือผู้ติดตามที่มาจาก Blog และเมื่อเข้ามาในเว็บไซต์แล้ว เขาเหล่านั้นก็หวังที่อยากจะเจอ อยากจะได้ อยากจะซื้อ ตามจากที่เห็นใน Blog เช่นกัน

หากสามารถสร้าง Blog ได้จนมีผู้ติดตาม การสร้างเว็บไซต์และทำ SEO ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ เพียงต้องอาศัยระยะเวลาในการทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ยิ่งทำมากเท่าไร เว็บไซต์ก็จะกลายเป็นเว็บอันดับต้นมากเท่านั้น และไม่ใช่เพียงจะดึงความสนใจของผู้ค้นหาให้อยากกดเข้ามาดูในเว็บไซต์แล้ว แต่ยังเป็นการช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้อีกทางด้วย

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO หรือไม่

การมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมน มีผลต่อ SEO

สมมุติว่าเราขายกล้วยไม้พันธุ์หวาย เมื่อคนต้องซื้อเขาก็จะพิมพ์คำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดว่า “ กล้วยไม้หวาย ” แล้วเรานำเอาชื่อนี้หรือคีย์เวิร์ดนี้มาตั้งเป็น www.กล้วยไม้หวาย.com สิ่งนี้คือชื่อโดเมน มีคำถามที่เป็นข้อถกเถียงกันว่า ชื่อโดเมนที่มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นมีผลต่อผลลัพธ์การค้นหาใน Google หรือมีผลต่อ SEO ( การปรับให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรก ๆ ของ Google ) หรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญตอบให้

John Mueller ผู้เชี่ยวชาญด้าน Webmaster Trends Analysts จาก Google ได้กล่าวไว้ว่า ไม่จำเป็นเลย เราจะไม่ได้คะแนนพิเศษในการจัดอันดับ และการมีคีย์เวิร์ดในชื่อโดเมนก็ไม่ได้หมายความว่า เว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดมากไปกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ไม่ได้มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้น จงใช้เวลาในการปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ SEO เพื่อผลลัพธ์ระยะยาวดีกว่า

เว็บไซต์อย่าง Lazada ก็ไม่ได้มีชื่อว่า shop ( หรือคีย์เวิร์ดที่แปลว่าซื้อ ) อยู่ในชื่อโดเมน Shoppee ก็เป็นคำสะกดผิด Google เป็นคำมาจากภาษาอื่น Facebookเป็นคำผสมที่คิดขึ้นมาใหม่และไม่มีในพจนานุกรม และเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้ชื่อเฉพาะมาตั้งเป็นแบรนด์ ไม่มีคีย์เวิร์ดอยู่ในนั้นแต่อย่างใด

www.hotels.com ชื่อโดเมนนี้ขายได้ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ

การเห็นคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมนแพง ๆ และมีชื่อเสียงอย่าง hotels.com, voice.com, healthinsurance.com อาจทำให้เราเข้าใจว่าต้องมีคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมนและมีผลต่อ SEO แน่นอน ความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ชื่อก็เป็นเพียงชื่อ เพียงแต่คำสามัญแบบนี้จะทำให้ราคาของโดเมนสูงถึงหลักล้านเหรียญเลยทีเดียว ใครที่ทำธุรกิจซื้อขายโดเมนจะรู้ดีว่ามันแค่แพงอย่างเดียวไม่มีผลต่อ SEO แต่อย่างใด

ข้อดีของการมีคีย์เวิร์ดอยู่ในชื่อโดเมน

www.กล้วยไม้หวาย.com นั้นจดจำง่ายกว่า www.siriluk.com แน่นอน อีกทั้ง www.กล้วยไม้หวาย.com ยังดูครอบคลุมตลาดและเป็นมืออาชีพ คนที่เข้ามาในเว็บไซต์อาจมองว่าเป็นตลาดขายกล้วยไม้หวายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยก็เป็นได้

ข้อเสียของการมีคีย์เวิร์ดอยู่ในโดเมน

หากเราต้องการขายดอกไม้อย่างอื่นล่ะ www.กล้วยไม้หวาย.com ก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ การเปลี่ยนชื่อโดเมนนั้นทำไม่ได้นอกเสียจากว่าจะต้องจดชื่อใหม่เท่านั้น www.siriluk.com จะได้เปรียบกว่าหากต้องการขายดอกไม้หลากหลาย อีกทั้ง siriluk ยังเป็นชื่อแบรนด์ที่ดีด้วย คนสมัยนี้นิยมซื้อของจากแบรนด์ที่ตัวเองคุ้นเคยและไว้ใจ คนอาจสงสัยว่า www.กล้วยไม้หวาย.com คือแบรนด์อะไร จุดนี้อาจทำให้เสียภาพลักษณ์หรือความชัดเจนไป

การทำ SEO ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น หากพิมพ์ว่า “ กล้วยไม้หวาย ” แล้วเจ้าของเว็บไซต์ไม่ปรับปรุงเว็บไซต์หรือทำ SEO www.กล้วยไม้หวาย.com ก็จะไปอยู่หน้าท้าย ๆ ของ Google อยู่ดี

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และ SEO

Search Engine คือเครื่องมือสำหรับค้นหาเนื้อและเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการ เปรียบเสมือนห้องสมุดที่เก็บเรื่องราวต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลก ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซด์ และเนื้อหาต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดยผู้สนใจที่ต้องการค้นหาข้อมูลก็สามารถพิมพ์คำหลักในแถบค้นหา จากนั้นอัลกอริทึม (Algorithm) จะทำการค้นหาในคลังข้อมูลด้วยซอฟแวร์เครื่องมือที่เรียกว่า Web Crawler หรือ Web Spider หรือ Web Robot ซึ่งมีเส้นใยเครือข่ายโยงไปมา จากนั้นก็จะดึงเอาลิ้งก์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำค้นหานั้นออกมาแสดงบนหน้าแสดงผลการค้นหา เรียกว่า Search Engine Results Pages (SERPs) ส่วนการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือการเพิ่มประสิทธิภาพของการค้นหา มีบทบาทสำคัญในการทำให้เว็บไซด์หรือเพจของคุณได้รับการจัดอันดับการค้นหาในอันดับต้น ๆ ของ SERPs เป็นการเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะค้นพบธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น

AI หรือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ที่มีความฉลาดเหมือน (หรืออาจจะเหนือกว่า) มนุษย์ เพราะสามารถทำงาน ตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาบางอย่างได้ด้วยตนเองเหมือนมนุษย์ ในปัจจุบันมีการนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์บริการ และ Application ต่าง ๆ รวมถึงการทำงานของ Search engine อย่าง Google ด้วย ในปัจจุบันความสามารถของ AI มีความเฉพาะเจาะจงเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น AI ในรถยนต์จะทำหน้าที่ควบคุมการขับรถเพียงอย่างเดียว ในกรณีหุ่นยนต์ก็จะกำหนดแค่เฉพาะการรับคำสั่งเท่านั้น อย่างในกรณีของ Search Engine AI ก็จะทำหน้าที่ประมวลผลจากคำค้นหาที่ผู้ใช้งานระบุ เพื่อค้นหาลิงค์ที่มีบทความ หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคำนั้น ๆ ได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานให้มากที่สุดนั่นเอง

โดย AI ที่มีผลต่อ SEO มากที่สุดในปัจจุบันคือ Rank Brain ของ Google เลย เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ ทำหน้าที่จัดอันดับคุณภาพของเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อคัดเนื้อหาที่จะเเสดงให้ผู้ใช้งานเห็น สามารถทำงานได้ตลอดเวลาไม่มีวันเหนื่อย หรือหยุดพัก เรียกว่า Rank Brain สามารถทำงานได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง รองรับทุก ๆ บทความ SEO ที่เพิ่มได้ตลอดเวลาจากทั่วทุกมุมโลก กล่าวได้ว่าการทำงานของ AI นี้จึงเกี่ยวข้องกับ SEO โดยตรง ดังนั้นการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการขึ้นอันดับการค้นหาเป็นลำดับต้น ๆ ได้จริงจึงต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับ Algorithm นี้ให้ดีด้วย

นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ AI-ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายขึ้น อย่าง

– Market Brew เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ช่วยวิเคราะห์เหตุผลในการจัดอันดับของเว็บไซต์ หรือผลลัพธ์ของเครื่องมือการค้นหา (SERPs) ช่วยให้สามารถปรับแผนการทำ SEO ได้ดีขึ้น

– Publicity.ai AI ที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่ง และรูปแบบการตลาดของผู้ประกอบการ ทำให้สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำตลาด เป็นการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และแสดงผลลัพธ์ในทุก ๆ ครั้งที่ีมีความคืบหน้าอีกด้วย

– SEMrush เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยวิเคราะห์ผลการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมกับการทำ SEO อย่าง Keyword, การทำ Domain และรายงานผลการค้นหา Keyword Magic Tool ที่ช่วยให้การทำ SEO ง่ายและสะดวกมากขึ้น

เพราะความก้าวหน้าหน้าและพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเข้าใจรูปแบบการทำงานด้านเทคโนโลยีอย่าง AI จึงถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อการทำ SEO ทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง

seo business

นำเสนอและขายสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์

เครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญมาก ๆ สำหรับธุรกิจออนไลน์ เพราะถ้าหากว่าเจ้าของแบรนด์เข้าใจและรู้จักการใช้งานเครื่องมือสำคัญตัวนี้เป็นอย่างดี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ธุรกิจมีโอกาสขายและทำกำไรได้มากขึ้น ในกลางกลับกันหากไม่เข้าใจและไม่ใช้เลยธุรกิจก็อาจประสบปัญหาและกลายมาเป็นผู้แพ้ในสงครามการตลาดออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูงได้ในที่สุด

SEO กับการใช้เพื่อหาลูกค้า

จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งคือการทำ Keyword Research สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในการตลาดของธุรกิจออนไลน์ก็คือ Keyword การทำ SEO โดยการทำ Research มาก่อน จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น แถมยังเข้าถึงได้ตรงกลุ่มที่ Match กับสินค้าได้ลงตัวมากกว่าด้วย อย่างนั้นแล้วก่อนจะเริ่มทำ SEO อย่างจริงจัง ธุรกิจควรที่จะหาดูก่อนว่า Keyword ที่ควรใช้นั้นคืออะไรกันแน่ การได้คำค้นหาที่ตรงกับสินค้าของธุรกิจจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าหาเราเจอได้มากกว่าเดิม

เทรนด์เป็นเรื่องสำคัญ แค่การใช้ Keyword ที่ตรงอาจไม่พอ ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงเทรนด์การใช้คำคำนั้นเพื่อการค้นหา โดยการดูด้วยว่าคำที่เราเลือกมานั้นมีปริมาณในการค้นหาอย่างไร เวลาที่เหมาะสมในการวิเคราะห์เทรนด์ก็คือ 12 เดือน และดูไปถึงว่าในแต่ละเดือนมีประมาณการค้นหาประมาณเท่าไร ยิ่งกับสินค้าที่ขายเป็น Season ตรงนี้ยิ่งต้องเอาไปใช้ให้ตรงช่วงเวลาด้วย

เข้าใจลูกค้า ขายได้ง่ายกว่า

เข้าไปให้ถึงที่ที่ลูกค้าอยู่ การที่จะเริ่มทำความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องรู้ให้ได้ว่ากลุ่มลูกค้าของเรานั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งที่อยู่นี้หมายถึงในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Social Media หน้าเว็บหรือเพจอะไร การมีข้อมูลตรงนี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ที่อยู่นี้เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ทุกธุรกิจจำเป็นจะต้องหาให้เจอให้ได้

ลูกค้าคุยอะไรกันเราต้องรู้ โดยปกติแล้วสิ่งที่ลูกค้าคุยหรือแชร์กันในสื่อออนไลน์คือการนำเสนอความต้องการ ความคาดหวัง และความพึงพอใจของพวกเขา ทั้งหมดที่ลูกค้าคุยกันคือโจทย์ที่ธุรกิจสามารถเอามาใช้ในการทำ Content ได้ และเมื่อรวมเข้ากับ Keyword ที่ผ่านการศึกษามาแล้ว ก็จะยิ่งทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพได้มากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

เพราะการเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าและรู้ว่าเทรนด์ในการหาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกคืออะไร จะช่วยให้ธุรกิจสามารถที่จะกำหนด Keyword ได้ตรงกับการค้นหามากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการนำไปใช้ในการทำ SEO ของธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วควรทำแบบไหนดี

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วควรทำแบบไหนดี

ในยุคที่การทำธุรกิจมุ่งเข้าสู่การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมาก เนื่องด้วยในปัจจุบันผู้คนต่างค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจผ่านระบบ search engine หากเว็บไซต์ของเราสามารถแสดงผลในหน้าแรกของระบบได้ ก็จะทำให้ผู้คนเข้าถึงสินค้าและบริการของเราได้ง่ายขึ้น

การทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้ติดหน้าแรกของการค้นหา หลักๆก็จะมีอยู่ 2 แบบ นั่นก็คือการทำ SEO กับ SEM แต่ทั้งสองคำนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรทำการตลาดแบบไหนดี

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร

SEO คือ Search Engine Optimization เป็นวิธีการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของการค้นหาโดยไม่ต้องลงโฆษณา ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดมาเป็นช่องทางให้ผู้คนค้นพบเว็บไซต์ของเรา ซึ่งมีวิธีการดังนี้

  1. เลือกคีย์เวิร์ด การทำ SEO นั้น เราจะต้องเลือกคีย์เวิร์ดให้ตรงกับหัวข้อของเรา การเลือกคีย์เวิร์ดนั้นควรเลือกใช้คำที่คาดว่าจะมีผู้ค้นหาผ่าน search engine มาก ซึ่งปัจจุบันมีโปรแกรมที่ช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เพื่อให้การวิเคราะห์นั้นแม่นยำมากยิ่งขึ้น
  2. การเขียนบทความให้น่าสนใจ เราต้องทำการเขียนบทความให้ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารกับผู้อ่าน และเนื้อหาในบทความนั้นต้องมีคุณภาพเพียงพอต่อการให้คุณประโยชน์ต่อผู้อ่านด้วยเช่นกัน
  3. การแทรกคีย์เวิร์ดลงในบทความ เมื่อเราเขียนบทความ เทคนิคหนึ่งที่สำคัญคือการแทรกคีย์เวิร์ดลงในส่วนต่างๆของบทความเพื่อให้ผลการค้นหามาพบกับบทความของเรา การแทรกคีย์เวิร์ดควรให้สอดคล้องไปกับเนื้อหาอย่างกลมกลืน และแทรกคีย์เวิร์ดไปตามส่วนต่างๆทั่วทั้งบทความ นอกเหนือจากนั้นใน 1 บทความควรมีมากกว่า 1 คีย์เวิร์ด

SEM คือ Search Engine Marketing คือการทำการตลาดผ่าน search engine ด้วยการซื้อโฆษณา เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกของการค้นหาในทันที โดยการซื้อโฆษณาจะมีลักษณะที่เรียกว่า PPC หรือ Pay Per Click ซึ่งหากมีคนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเราผ่านการค้นหา เราก็จะต้องจ่ายค่าโฆษณา คือการจ่ายเมื่อคลิกนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้ได้ผลรวดเร็วแต่ก็แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายจากการประมูลในคีย์เวิร์ดนั้น หากคีย์เวิร์ดที่เราเลือกมีผู้ใช้มาก เราจำเป็นต้องจ่ายค่าประมูลให้มากกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของเราแสดงผลก่อนเว็บไซต์ของคนอื่น

SEO กับ SEM ควรเลือกแบบไหนดี

จากข้อแตกต่างดังกล่าว ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการเลือกใช้วิธีใด หากเราไม่อยากเสียเงินเพื่อซื้อโฆษณาก็อาจจะเลือกใช้การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราค่อยๆไต่อันดับในการแสดงผลผ่าน search engine แต่ถ้าหากเรามีงบประมาณและต้องการให้เว็บไซต์แสดงผลในหน้าค้นหาทันที ก็เลือกใช้ SEM เพื่อผลที่รวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดแบบ SEO หรือ SEM สิ่งสำคัญคือเนื้อหาที่มีคุณภาพ เพื่อให้การทำการตลาดออนไลน์ประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืน